28 April 2008

ตัวร้อยขา

วันนี้ได้เห็นข่าวผ่านตาทาง twitter ไม่ได้อ่านหรอกครับ แค่เห็นหัวข่าว ก็คงเรื่องเดิมๆ อีกเรื่องหนึ่งในสังคมของเรา ซึ่งไม่รู้ว่าเราจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ถึงจะผ่านมันไปได้
เรื่องตัวร้อยขาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งของความรู้เท่าไม่ถึงการณ์บวกกับความเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นปัจจัยแรกๆที่ฉุดรั้งสังคมของเรามานานแสนนาน

ปกติท่อประปาจะเป็นระบบท่อที่มีน้ำอยู่เต็มท่อและไหลอยู่ตลอดเวลา ความดันในท่อจะสูงกว่าความดันนอกท่อเสมอ สังเกตได้จากหากท่อรั่วหรือแตก ก็จะมีน้ำพุ่งออกมาจากรอยรั่ว ความดันนี้ทำให้ไม่มีอะไรเข้าในท่อได้โดยง่ายแม้ท่อจะแตกหรือรั่ว
น้ำที่ไหลตลอดเวลาทำให้การสะสมของตะกอนมีน้อย โดยรวมคือ ปกติน้ำประปาจะเป็นน้ำที่สะอาด หากกระบวนการผลิตได้น้ำที่สะอาดตั้งแต่แรกแล้ว น้ำที่ออกมาจากก๊อกก็จะสะอาดด้วย
ที่ว่าน้ำประปาตามปกติสะอาดดื่มได้นั้น จริงนะครับ ในพื้นที่ที่สามารถผลิตน้ำสะอาดระดับนั้นได้ และผู้ใช้น้ำไม่เห็นแก่ตัว

ประปาบางพื้นที่ อาจจะไม่เพียงพอ ทำให้น้ำไหลบ้างไม่ไหลบ้าง ปั๊มน้ำจึงมักจะเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญสำหรับผู้ใช้น้ำ แต่น่าเสียดายที่เราติดตั้งปั๊มน้ำกันอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์และเห็นแก่ตัว
การติดตั้งปั๊มน้ำเพื่อชดเชยความไม่พร้อมของระบบส่งน้ำ เราจะต้องมีถังพักน้ำครับ เอาน้ำประปาใส่ถังนี้แล้วใช้ปั๊มสูบออกมาจากถังจ่ายเข้าบ้าน วิธีนี้เราจะมีน้ำที่แรงและมีีใช้ตลอดแม้น้ำประปาจะไม่ไหลเลย ขอให้มีน้ำในถัง และหากเรามีท่อ Bypass พร้อมวาล์วกันไหลย้อนกลับ ก็จะทำให้เราหยุดใช้ปั๊มได้ โดยอาศัยแรงดันของน้ำประปาจากท่อตามปกติ ในเวลาที่น้ำไหลดี

แต่ปรากฏว่าวิธีการติดตั้งปั๊มของเราที่พบเห็นส่วนใหญ่ กลับกลายเป็นการติดตั้งโดยไม่มีถังพักน้ำ หรือมีแต่ก็ไม่ได้ให้ปั๊มสูบจากถังพัก กลับไปดูดจากท่อน้ำประปาแทน
มีข้อเท็จจริงที่เรียกว่าเป็นสัจจธรรมเลยก็ว่าได้คือ ปั๊มน้ำสร้างแรงดันให้น้ำ แต่ผลิตน้ำไม่ได้นะครับ ถ้าไม่มีน้ำให้ปั๊มซะอย่าง ให้ปั๊มใหญ่ยักษ์แค่ไหนก็ไม่มีน้ำให้ การติดตั้งแบบนี้จึงให้ได้แค่น้ำที่แรงขึ้น
ในเวลาที่มีน้ำไหล แต่ถ้าน้ำไม่ไหลก็ไม่มีน้ำ
การติดตั้งแบบนี้คนที่อยู่ต้นน้ำจะแย่งน้ำจากคนที่อยู่ถัดไป จนในที่
่สุดคนหลังๆจะไม่มีน้ำใช้ ถึงแม้ว่าทุกบ้านจะมีปั๊มเหมือนๆกันหมดเพื่อหวังแย่งชิงน้ำกับเพื่อนบ้านก็ตาม
นั่นเป็นเหตุหนึ่งที่ผมได้พบว่า ปั๊มน้ำที่ขายในบ้านเรามีสเปคระดับเทพ เทพยังไงเหรอครับ ปั๊มน้ำโดยทั่วไปจะพังจากการเดินโดยไม่มีน้ำ แต่ปั๊มน้ำที่ขายในบ้านเราสามารถจะ Run dry ได้เป็นชั่วโมงโดยไม่พัง เพราะต้องทนกับการติดตั้งที่ไม่ถูกต้อง พยายามดูดน้ำจากท่อเปล่าๆได้
พอมองเห็นปัญหาทางวิศวกรรมแบบบ้านเรามั้ยครับ ว่าเราเล่นของสเปคสูงๆกันเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์มากกว่าจะได้ประโยชน์อะไรจริงจัง

ผลเสียที่ตามมานอกจากระบบที่ไม่คุ้มค่า (เพราะแทบไม่เกิดประโยชน์จากการใช้ปั๊ม หรือได้ประโยชน์น้อยกว่าที่ควร) ก็คือ ท่อน้ำประปาที่ควรจะมีความดันน้ำอยู่ตลอดเวลา (แม้จะน้อยเพราะไหลเอื่อยๆ) กลายเป็นท่อเปล่าที่มีความดันเป็นสุญญากาศเพราะปั๊มของแต่ละบ้านช่วยกันดูดท่อเปล่าๆ
สุญญากาศนี้จะดูดเอาสิ่งแปลกปลอมภายนอกท่อเข้าไปตามรอยแตกรอยรั่วด้วย แน่นอนครับไม่สะอาดแน่ รวมทั้งตัวอ่อนของเจ้าตัวร้อยขาที่จะเข้าไปเจริญเติบโตในท่อ (และที่แย่กว่าตัวร้อยขาคือเชื้อโรคที่มองไม่เห็น)
เรื่องของตัวร้อยขาจึงไม่ใช่ความรับผิดชอบของการประปาเสียทีเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบของผู้ใช้น้ำด้วยครับ

เรากำลังสร้างสังคมที่แต่ละคนอยากทันสมัย มีวัตถุทัดหน้าเทียมตาคนอื่น แต่เรากลับละเลยการขวนขวายทำความเข้าใจ ต่างทำไปตามๆกันโดยไม่รู้ถึงผลที่จะเกิดขึ้น สนใจเพียงสิทธิของตนที่จะครอบครองได้ทัดเทียมผู้อื่น หรือแม้แต่ครอบครองได้มากกว่าคนอื่นแต่ละเลยหน้าที่จะต้องทำความเข้าและเท่าทันวัตถุด้วย
คำว่า ไม่รู้ ซึ่งเป็นคำแก้ตัวที่ได้ยินเป็นอันดับแรกหลังจากเกิดผลเสีย ไม่ได้ช่วยให้ผู้พูดได้รอดพ้้นไปจากผลกระทบนั้นๆได้เลย
หากเรายังเดินหน้าไปพร้้อมกับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์บวกกับความเห็นแก่ตัวแบบนี้ต่อไปในสังคมที่ซับซ้อนขึ้นทุกทีโดยเราไม่พัฒนานิสัยไฝ่รู้ขึ้นมา ก็เท่ากับเรากำลังเพิ่มความทุกข์ให้กับตัวเราและสังคมมากขึ้นเรื่อยๆโดยเราเข้าใจไปว่าสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในชีวิตนั้นจะปัดเป่าความทุกข์และสร้างสุขให้เรา
เป็นวังวนที่ยากจะหลุดออกมาได้ มีแต่จะจมลึกลงสู่ห้วงทุกข์มากขึ้น

เราต้องปรับทัศนคติของเรา และไม่สามารถรีรอได้อีกแล้ว

21 April 2008

Freeze Bangkok


เมื่อวาน (วันอาทิตย์ 20 เม.ย.) พาครอบครัวไปพบปะเพื่อนฝูงตามปกติ คราวนี้สวนลุมฯเช่นเคย ตามประสาคนไม่ค่อยชอบเดินห้าง วันนี้มีวงดนตรีเยาวชน Youth Orchestra ซึ่งยังเล่นดนตรีได้น่าฟังและน่ารักเช่นเดิม แต่ผิดหวังพอสมควร (ถึงมาก) กับเพลงร้องที่เอาผู้ใหญ่มาร้อง และต้องบอกว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ยังร้องเพลงไม่เป็น (เมื่อเทียบกับความสามารถในการเล่นดนตรีของเด็กๆแล้วต้องบอกว่าน่าอายมาก อย่ามาแสดงดีกว่า) บางท่านที่ร้องเพลงเป็นก็มาร้องเพลงในแนวที่ตนเองไม่เป็น เพราะถนัดร้องเพลงไทยแต่มาร้องเพลงฝรั่ง เทคนิคการร้องมันต่้างกันนะครับ ร้องเพลงไทยไม่ผิดหรอก เพลงไทยของเราก็มีเทคนิคที่ฝรั่งก็ยากที่จะทำได้ แต่เราก็อย่าไปร้องเพลงที่เราไม่ถนัดก็แล้วกัน จะร้องก็ร้องฟังเองคนเดียว นอกจากเทคนิคที่ต่างกันแล้ว การออกเสียงก็ต่างกันด้วย ผู้ร้องออกเสียงตัว R ด้วยเสียงตัว ร.เรือ คนละเรื่องเลยนะครับ
และที่รู้สึกแย่มากๆจนต้องลุกออกมาก่อน ก็ตอนที่ร้องเพลง Memory เพลงนี้สำหรับผมเป็นหนึ่งในเพลงศักดิ์สิทธิ์นะ ใครจะร้องก็ต้องถึงๆหน่อย

ก็ไม่ผิดหรอกนะครับว่าใครจะถนัดเพลงไทยหรือเพลงฝรั่ง ทำสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด น่าชื่นชมกว่าครับ

ช่วงเวลาเดียวกัน ในสถานที่ไม่ห่างกันนัก ก็มีเพื่อนๆในอีกแนวหนึ่ง กำลังทำกิจกรรม Freeze ที่แถวๆทางเดินเหนือสี่แยกหน้ามาบุญครอง กับ Siam Discovery แล้วก็มาที่ Siam Paragon ด้วย กิจกรรมนี้รูปแบบก็คือ พอได้เวลาที่กำหนด อาสาสมัครของกิจกรรมนี้ก็จะหยุดอยู่ที่ท่าที่ตนเองกำลังทำอยู่ในขณะนั้น หยุดนิ่งๆอยู่ประมาณ 5 นาทีจนมีสัญญาณหมดเวลา (สัญญาณอาจจะเป็นได้หลากหลายแล้วแต่ตกลงกัน)
การประสานงานกิจกรรมพวกนี้น่าสนใจนะครับ ทุกคนมาจากต่างที่กัน ติดต่อกันทางอินเทอร์เน็ต แล้วมาพบกันในช่วงเวลาที่นัดไว้ แล้วนัดแนะว่าพื้นที่กิจกรรมจะอยู่บริเวณไดบ้าง ใช้อาณัตสัญญาณแบบไหน ดูๆแล้วเป็นเหมือนการวางแผนรบหรือวางแผนการทำงานที่ต้องประสานกัน เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจตรงจุดนี้แหละครับ บ้านเราควรฝึกฝนการทำงานเป็นกลุ่มให้มากกว่านี้

แต่คนอายุมากๆบางคนอาจจะมองว่าเป็นการซึมซับเอาวัฒนธรรมต่างชาติมาใช้กันง่ายๆ ไม่สนใจวัฒนธรรมของตนเอง แล้วตั้งข้อรังเกียจวิพากษ์วิจารณ์ ก็คงเป็นเรื่องที่คาดหวังได้ครับ ถ้าเกิดเขารู้สึกขัดหูขัดตา หรือแม้กระทั่งไปเกะกะเขา
แต่หากจะไปต่อว่าเขาในทำนองนั้น ก็อยากขอให้ผู้อาวุโสสะกิดใจสักนิดครับ ว่าเราเป็นแบบนี้กันมานานแล้ว (ครับ รวมทั้งสมัยของผู้อาวุโสด้วย) ที่ไปเอาวัฒนธรรมชาวบ้านเขามาใช้ง่ายๆ อย่างที่จะเทียบกับ Freeze ก็คือการยืนตรงเคารพธงชาติ (ที่อาจจะไม่มีในบริเวณใกล้ๆกันนั้น) นี่แหละ ที่เราเอามาใช้กันช่วงรัฐบาลเผด็จการหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่นาน ก็เอามาจากญี่ปุ่น และเดี๋ยวนี้ญี่ปุ่นเขาก็เลิกทำไปแล้ว ไม่ใช่วัฒนธรรมเก่าแก่ที่สืบทอดมาเนิ่นนานอะไร แต่เดี๋ยวนี้หากใครไม่ทำตาม หรือไปวิพากษ์วิจารณ์เข้าก็จะเกิดอาการ "จะเป็นจะตาย" กัน ลองตรองดูนะครับ ว่าเราเข้าใจคำว่าวัฒนธรรมกันมากน้อยแค่ไหน จริงๆแล้วอะไรควรอะไรไม่ควร อะไรคือรูปแบบอะไรคือสาระ

เริ่มจากฟังเพลง แล้วก็จบที่ฟังเพลง แต่คนละแง่

09 April 2008

บันทึกการเดินทาง, นางาซากิ

25 พฤศจิกายน 2550
นางาซากิ
เดินออกมาจากพิพิธภัณฑ์ด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไปหลายอย่าง แต่แดดใสๆนอกอาคารช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นได้มาก ยังเหลือเวลาอีกพอสมควรก่อนถึงเวลานัด ผมเลย
เดินต่อไปอีกหน่อย เป็นที่ตั้งของ Peace park ซึ่งอยู่บนเนินเล็กๆถัดไป
ขึ้นมาถึงก็เจอน้ำพุ Peace fountain ตรงหน้าเพียงเดินขึ้นมาถึงยอดเนิน แดดบ่ายส่องจากด้านหลังของผม กระทบละอองน้ำแล้ววาดโค้งรุ้งลอยคลอเคลียฝอยน้ำ เลยลึกเข้าไป
เห็นรูปปั้น Peace statue สีฟ้าหม่นเป็นฉากหลัง ผมยืนบันทึกภาพนี้ไว้ด้วยตาเปล่า เพราะในระยะขนาดนี้ กล้องติดโทรศัพท์ไม่สามารถถ่ายทอดอะไรได้นอกจากแค่ถ่ายภาพติด
แต่เทียบอะไรไม่ได้กับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เลย นึกถึงสมัยที่แบกกล้องเที่ยวถ่ายรูป แม้จะเมื่อยล้ากับอุปกรณ์หนักหลายกิโล แต่ก็ไม่ต้องมารู้สึกเสียดายกับช่วงเวลาแบบนี้
หามุมถ่ายรูปน้ำพุเท่าที่เลนส์จากกล้องจำเป็นตัวนี้จะถ่ายทอดความรู้สึกและความทรงจำได้ จากนั้นก็เดินต่อไปที่ Peace statue ประติมากรรมขนาดใหญ่สีฟ้าหม่นทาบท้องฟ้าสีคราม







มีเสียงภาษาญี่ปุ่นจากนักท่องเที่ยวสาวคนหนึ่งขอให้ผมช่วยถ่ายรูปให้เธอหน่อย ผมรับกล้องจากเธอแล้วขยับให้ได้ภาพครึ่งตัว กับ Peace statue เป็นฉากหลัง
ต้องให้เห็นมากพอว่านี่คือ Peace statue ด้วย
ผู้หญิงจะคาดหวังเรื่องการถ่ายรูปต่างจากช่างภาพผู้ชาย เธอต้องการภาพของตัวเธอและหมู่คณะของเธอเป็นสำคัญ ส่วนฉากหลังเป็นแค่ตัวประกอบเพื่อเป็นพยานว่าเธอได้มาถึงที่นั่น การถ่ายเพียงภาพสถานที่โดยไม่มีตัวเธอเด่นอยู่ในภาพเป็นการกระทำที่เสียฟิล์ม เสียหน่วยความจำไปเปล่าๆ ภาพแบบนั้นเธอไปหาซื้อโปสการ์ดเอาก็ได้
ดังนั้นหากจะถ่ายภาพผู้หญิง เน้นการถ่ายภาพบุคคลไว้ครับ อย่าเน้นถ่ายภาพทิวทัศน์เป็นอันขาด










เดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงจุดที่มองเห็นวัดคาทอลิกอุราคามิ จากจุดนี้ต้องเดินต่อไปอีกเล็กน้อย แต่ผมคิดว่ากลับไปที่โรงแรมก่อนดีกว่า อาบน้ำและนั่งพักสักหน่อย เสียดายแดดสวยๆแบบนี้เหมือนกัน เพราะวันพรุ่งนี้อาจจะไม่มีแดดก็ได้เดินกลับมาทางเดิมแล้วนั่งรถรางกลับ
นึกถึงในกรุงเทพฯกำลังจะมีระบบขนส่งคล้ายๆแบบนี้ คือเป็นรถที่วิ่งในทางบังคับแต่อยู่บนผิวถนนเดียวกับรถยนต์ ติดไฟแดงเหมือนกัน
แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะวิ่งแย่งกันรับผู้โดยสาร หรือจอดนอกป้าย จอดแช่ป้าย
การกระทำอย่างนั้นแสดงถึงความเห็นแก่ตัวและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะหากขับรถรับผู้โดยสารไปตามปกติทุกคัน ก็จะได้ผู้โดยสารใกล้เคียงกันในช่วงเวลาเดียวกันอยู่แล้ว เพราะผู้โดยสารมีจำนวนที่ค่อนข้างแน่นอนจำนวนหนึ่งซึ่งต้องขึ้นรถสายนั้นแน่ๆ เขาขึ้นคันนี้ไม่ทัน เขาก็ต้องขึ้นคันถัดไป การจอดแช่ป้ายไม่ได้เพิ่มจำนวนผู้โดยสารในระบบ และจริงๆแล้วก็ไม่ได้เพิ่มจำนวนผู้โดยสารให้กับคันไดคันหนึ่งหรอก เพราะผู้โดยสารจะทยอยเดินทางมารอรถเมล์ต่างช่วงเวลากัน การแช่ป้ายเป็นเพียงการเสียประโยชน์ของทุกฝ่ายเท่านั้นเอง
แต่ระบบรถรางที่ใช้พื้นทีร่วมกับรถยนต์แบบนี้ เหมาะกับเมืองเล็กๆที่ต้องการชลอการเพิ่มของรถยนต์ในเมืองที่บ้านเรือนมีขนาดเล็ก ไม่มีอาคารใหญ่ๆ มีที่จอดรถจำกัด มันเทียบกันไม่ได้กับระบบขนส่งมวลชนที่ใช้เส้นทางของตัวเองสำหรับขนส่งคนจำนวนมากท่ามกลางการจราจรติดขัดอย่างในมหานครใหญ่ๆเช่นกรุงเทพฯ
เมืองใหญ่ๆอย่างโตเกียวเคยประสบปัญหาการขนส่งมวลชน (โดยรถไฟไต้ดิน) ไม่พอเพียงถึงขนาดที่ว่ารถแน่นจนต้องจัดเจ้าหน้าที่มาดันคนอัดเข้าไปให้ปิดประตูรถไฟได้ คนโตเกียวส่วนใหญ่อยู่บ้านขนาดเล็กมากไม่ต้องพูดถึงที่จอดรถหรือค่าใช้จ่ายในการใช้รถ ก็ต้องทนกับรถแน่นๆแบบนั้นอยู่หลายปี
ดูเหมือนคนกรุงเทพฯจะสบายกว่าคนโตเกียวตรงที่มีทางเลือกซื้อรถยนต์มาติดกันเป็นแพโดยไม่ยอมไปอัดกันในระบบขนส่งมวลชนอย่างในโตเกียวแต่ก็อย่างว่าแหละครับ คนโตเกียวอัดกันอยู่ในรถไฟ แต่ก็เดินทางรวดเร็วตามกำหนดเวลา แต่รถเมล์แน่นเป็นปลากระป๋องที่ต้องไปติดอยู่กลางถนนด้วยนั้นเป็นเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่า
ผมว่ารถราง BRT เป็นแค่ความพยายามสร้างผลงานอะไรสักอย่าง ผลงานที่วันหนึ่งอาจจะเป็นแค่เพียงอนุสาวรีย์ไว้ประจานเจ้าของผลงานเท่านั้นเอง เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯต้องการระบบขนส่งมวลชนที่เดินทางบนทางของตัวเองที่ทั่วถึง รวดเร็วและกำหนดเวลาได้ ไม่ใช่แค่ระบบสำหรับชลอการเพิ่มของรถยนต์อย่าง BRT เพราะกรุงเทพฯได้ผ่านสถานะนั้นไปแล้ว

กลับมาถึงโรงแรม เจ้าหน้าที่ส่ง Key card ให้พร้อมกับแจ้งว่ากระเป๋าของผมไปรออยู่บนห้องแล้ว ผมขอบคุณแล้วขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องพักญี่ปุ่นไม่ว่าที่ไหนก็มีที่ทางจำกัดจำเขี่ยไปหมดครับ ห้องพักโรงแรมมีขนาดเพียงประมาณหนึ่งในสามของห้องพักโรงแรมในบ้านเราเท่านั้นเอง มีเตียงขนาดนอนได้คนเดียวอยู่หนึ่งเตียง โต๊ะทำงานพร้อมกระจกซึ่งอยู่ติดกับเตียงชนิดลุกจากเตียงก็นั่งเก้าอี้ได้เลย ห้องน้ำทางด้านหน้าซึ่งหากเปิดประตูออกมาก็จะขวางทั้งห้องไว้ได้ ตู้เก็บของต่างๆเป็นแบบ Built-in ลงตัวและไม่เปลืองที่ แต่สำหรับคนที่อยู่บ้านชั้นเดียวพื้นที่กว้างๆอย่างผมรู้สึกมันเล็กมาก
จัดของเสร็จก็อาบน้ำแล้วนั่งอ่านพวกเอกสารแนะนำตัวเมืองเพิ่มเติมจากที่ค้นคว้ามาก่อนหน้านี้ วันพรุ่งนี้ผมคงมีเวลาแค่เดินดูอะไรได้อีกนิดหน่อยเท่านั้น แต่ก็ยังนับว่าเยอะครับหากเทียบกับการมาธุระต่างประเทศครั้งก่อนๆ เพราะปกติผมมักจะได้อยู่แค่ในห้องประชุมเท่านั้น เสร็จงานก็บินกลับ มาคราวนี้มาเมืองไกลปืนเที่ยงหน่อย ไม่มีไฟลต์ตรงจากกรุงเทพฯก็เลยมีเวลามากขึ้น
สมัยนี้เมืองไหนที่ไม่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯเนี่ย ต้องเรียกว่าบ้านนอกแล้วหละครับ
ได้เวลาเจ้าหน้าที่ของลูกค้าก็โทรศัพท์ขึ้นมาที่ห้อง บอกว่ารออยู่ที่ล็อบบี้ ผมวางหูแล้วก็ลงลิฟต์ไปเลย เราคุยกันถึงรายละเอียดของการบรรยายพรุ่งนี้ ผมชอบวิธีทำงานแบบนี้นะ ซักซ้อมกันชัดเจนแม้ว่าจะเป็นการบรรยายที่สั้นมาก แล้วก็มาซักซ้อมกันตอนเย็นวันอาทิตย์อีกต่างหาก ถ้ามองในแง่ของช่วงเวลาทำงานแล้วก็ออกจะเอาจริงเอาจังไป ทำเหมือนไม่มีบ้านช่องจะอยู่ แต่ถ้ามองในเรื่องของความเอาใจใส่ในการทำงานแล้วต้องนับว่าเยี่ยม การบรรยายช่วงเช้าพรุ่งนี้นอกจากผมแล้วยังมีบริษัทอีกแห่งหนึ่งจากมาเลเซียมาบรรยายด้วย เรื่องที่จะบรรยายของเขาเป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบปรับอากาศ
อนิจจา แค่ช่วงเช้าก็บรรยายเข้าไปสองระบบ เฉพาะเนื้อหาในส่วนของผมก็มากพอที่จะใช้เวลาบรรยายสองวันได้สบายๆ แต่คราวนี้ผมมีเวลาแค่ชั่วโมงเดียว
คุยกันเสร็จทางมิตซูบิชิก็พาไปหาอาหารทานกันที่ร้านใกล้ๆ อาหารก็พื้นๆสำหรับสมัยที่หาอาหารญี่ปุ่นกินได้ทุกห้างอย่างวันนี้ สมัยก่อนจะกินอาหารญี่ปุ่นในบ้านเรานี่เรื่องใหญ่นะครับ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่หาได้ง่ายๆ
เรากินอาหารไปคุยกันไป คนญี่ปุ่นดื่มเบียร์และสูบบุหรี่กันเป็นเรื่องปกติ แม้แต่ร้านอาหารปรับอากาศก็สูบบุหรี่กันได้ บุหรี่หาซื้อง่ายมากมีเครื่องจำหน่ายอยู่ทั่วไป ไม่มีการมาดูหน้าว่าเด็กหรือผู้ใหญ่มาซื้อ ในเมืองใหญ่ๆเราจะได้เห็นเด็กวัยรุ่นทั้งหญิงและชายสูบบุหรี่กันอย่างเปิดเผย ไม่ต้องไปเรียกร้องให้ควบคุมหรอกครับ สังคมเขาก้าวไปไกลเกินกว่าจะพูดถึงเรื่องนี้แล้ว และผลประโยชน์จากการค้าบุหรี่ก็มากพอจะกำหนดนโยบายของรัฐไปแล้ว (รวมทั้งผลประโยชน์อื่นๆในนโยบายด้านอื่นๆด้วย) คนญี่ปุ่นมีปัญหาสุขภาพจนเป็นเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้อัตราการฆ่าตัวตายสูงมาก
นี่คือสังคมที่ก้าวหน้าทุกๆด้านรวมทั้งการแพทย์ ผลประโยชน์ทำลายคนญี่ปุ่นในทางอ้อม ล่อใจให้เสพรส
ที่พึงใจแต่ค่อยๆฆ่าเรา แล้วสังคมก็รักษาเราไว้ไม่ให้ตายง่ายๆ ต้องทรมานกับสภาพของคนทุพพลภาพ ไร้ฐานะทางสังคม เป็นเหมือนภาระของคนอื่นในเวลาที่แทบรับภาระเพิ่มไม่ได้เลย ความตายกลับดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
เราเองก็กำลังเดินตามไปทางนั้น แนวทางที่ยอมสละจรรยาบางข้อลง แลกกับสิ่งที่เราเชื่อว่าจะให้ชีวิตที่ดีกว่า
ผมสนใจคุยเรื่องความเป็นมาของนางาซากิ แต่ดูเหมือนวิศวกรชาวญี่ปุ่นคนนี้จะสนใจกับเทคโนโลยีใหม่ๆมากกว่าและสนใจปัญหาของผมที่ใช้งานโทรศัพท์ระบบ UMTS 2100 ที่พกพามาด้วยไม่ได้ (ซึ่งผมมาทราบทีหลังว่าใช้ได้เพียงบางเมืองเท่านั้น) มากกว่าจะคุยเรื่องประวัติศาสตร์ ผมสังเกตเห็นสิ่งที่คล้ายกันไปหมดของคนต่างจังหวัดไม่ว่าจะประเทศไหน คือดูเหมือนพวกเขาจะเบื่อหน่ายกับท้องถิ่นของเขาเหลือเกิน อยากใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ๆมากกว่า คนหนุ่มสาวจำนวนมากเดินทางเข้าสู่เมืองใหญ่ ทิ้งให้ท้องถิ่นเหลือแต่เด็กและคนชรา ช่วงห้าโมงเย็นของทุกวันจะเห็นคนแก่เดินทางกันเต็มรถไฟไปหมด
ความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองใหญ่กับชนบทมีให้เห็นไม่น้อยกว่าที่ไหนในโลก (คงมีแต่ประเทศปลอมๆอย่างสิงค์โปร์มั้งครับ ที่เป็นเขตเมืองล้วนๆไม่มีชนบท แต่เขาก็มีปัญหาในแบบของเขา ปัญหาที่เขาพูดไม่ออก บอกใครเปิดเผยไม่ได้ เพราะรัฐบาลที่แสนจะมีเสถียรภาพของเขาไม่ต้องการได้ยิน)
นางาซากิก็เหมือนเมืองชนบทอื่นๆที่เต็มไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรมเนื่องจากค่าแรงงานถูก ในสมัยหนึ่งต่างจังหวัดของญี่ปุ่นเคยมีต้นทุนต่ำถึงขนาดไม่มีการระวังเกี่ยวกับมลภาวะจนนำไปสู่ปัญหาคลาสสิกอย่างโรคมินามาตะ, โรคอิไต-อิไต มาในวันนี้อุตสาหกรรมบางอย่างของญี่ปุ่นโยกย้ายออกไปหาแรงงานถูกๆและโยนความเสี่ยงด้านมลพิษออกไปประเทศอื่นๆที่ไม่รู้เท่าทัน เห็นเพียงผลประโยชน์ (ที่คนญี่ปุ่นเห็นแล้วว่าไม่คุ้ม) และถูกรัฐบาลปกปิดข้อมูลสำคัญด้านนี้
บ้านเราก็เจอกับอะไรคล้ายๆกัน และการเสนอข้อมูลด้านนี้ก็จะถูกคนกลุ่มหนึ่งประณามว่าถ่วงความเจริญ
ก็จริงของเขา คนจะพัฒนา ไปท้วงเขาก็ต้องโดนแบบนี้

นางาซากิของคนญี่ปุ่นรุ่นใหม่แม้ดูซีดเซียว แต่ชีวิตในเมืองใหญ่ที่ดูสดใสก็ไม่ได้งดงามเหมือนเทวดาบนสวรรค์อย่างที่เข้าใจ ไม่ต่างจากบ้านนอกกับเมืองกรุงในบ้านเราหรอกครับและออกจะหนักหนาสาหัสยิ่งกว่า ทุกวันนี้เราจะได้เห็นเด็กวัยรุ่นหน้าตาสวยใส แต่งตัวน่ารัก ใช้สินค้าแบรนด์เนมไปพร้อมๆกับเห็นพวกเธอเหล่านั้นนั่งทานอาหารในห้องอาหารหรูๆกับนักธุรกิจอายุคราวพ่อ เขาไม่ใช่ญาติกันหรอกครับ แต่ฝ่ายหนึ่งกำลังทำงานหาเงิน และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลูกค้า ลำพังเงินจากครอบครัวไม่มีทางพอสำหรับเครื่องสำอางค์ เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับเหล่านั้นหรอก เพราะสวรรค์บนพื้นดินนี้มีราคา ยิ่งชั้นสูง ก็ยิ่งแพง เทวดาและนางฟ้าต่างต้องดิ้นรนเพื่อรักษาทิพยสภาพนี้ไว้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องจุติกลับมาเป็นมนุษย์เดินดินธรรมดาในชนบท แล้วใครจะทนได้
คนญี่ปุ่นใช้ SMS กันอย่างคล่องแคล่ว เพราะการคุยโทรศัพท์ในรถโดยสารเป็นการรบกวนคนอื่น และเพราะบ้านในเมืองที่คับแคบจนไม่มีความเป็นส่วนตัวแม้การคุยโทรศัพท์ หรือแม้แต่บางคนที่หากระทั่งบ้านเล็กๆยังไม่ได้ ต้องหาบ้านที่ต่างเมืองแล้วนั่งรถไฟเข้าไปทำงาน ผมนึกถึงค่ารถไฟแต่ละวันที่ต้องจ่ายหลายร้อยบาทแล้วตกใจ เพราะนั่นแสดงว่าการมีบ้านในเมืองจะต้องมีค่าใช้จ่ายสูงกว่านั้นอีก
ชีวิตที่ทำงานอย่างหน่วยผลิตหน่วยหนึ่ง เพื่อจ่ายให้กับหน่วยผลิตอื่นแลกกับคุณภาพชีวิตในแบบที่ตนเองคาดหวัง แต่ผลประโยชน์จริงๆกลับตกกับคนอื่น ปล่อยให้หน่วยผลิตเหล่านี้รับจ้างประเทศของตนเองทำงาน เช่าประเทศของตนเองอาศัย มีเพียงแค่พอดำรงชีวิตอยู่ตาม Life style ที่ทำตามๆกัน แทบไม่มีอะไรเหลือให้คนข้างหลังเมื่อสิ้นลมหายใจ
เหล่านี้คือภาพของเมืองหลวงและต่างจังหวัดที่ผมได้เห็น มันไม่ต่างจากบ้านเราในเนื้อหา แต่ในรูปแบบนั้น ก้าวไปไกลอย่างน่ากลัว

เรากำลังเดินตามเขาไปอย่างหน้าชื่น ไม่ต่างจากคนต่างจังหวัดที่เห็นชีวิตในเมืองว่าเป็นชีวิตที่ดีกว่า แน่นอนว่าเรามีสิทธิจะคิดแบบนั้น และไม่ควรจะมีใครมาปิดกั้นเราจากความเจริญที่เราเห็นอยู่ชัดๆตรงหน้า
เพียงแต่วันที่เราเหนื่อยล้า โหยหาคืนวันเก่าๆ ร้องหาอัตลักษณ์ท้องถิ่นของเราที่เราทิ้งมา ทุกอย่างก็กลับเหลือเพียงความทรงจำในสิ่งที่ไม่มีทางย้อนคืนเราเดินมาแล้ว ขอให้เราทำใจไว้เถอะว่า สิ่งที่เราได้มานั้น ย่อมต้องแลกกับบางสิ่ง แม้วันนี้เราจะไม่รู้ว่าเราเอาอะไรแลกไปบ้างแล้วก็ตาม