09 April 2008

บันทึกการเดินทาง, นางาซากิ

25 พฤศจิกายน 2550
นางาซากิ
เดินออกมาจากพิพิธภัณฑ์ด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไปหลายอย่าง แต่แดดใสๆนอกอาคารช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นได้มาก ยังเหลือเวลาอีกพอสมควรก่อนถึงเวลานัด ผมเลย
เดินต่อไปอีกหน่อย เป็นที่ตั้งของ Peace park ซึ่งอยู่บนเนินเล็กๆถัดไป
ขึ้นมาถึงก็เจอน้ำพุ Peace fountain ตรงหน้าเพียงเดินขึ้นมาถึงยอดเนิน แดดบ่ายส่องจากด้านหลังของผม กระทบละอองน้ำแล้ววาดโค้งรุ้งลอยคลอเคลียฝอยน้ำ เลยลึกเข้าไป
เห็นรูปปั้น Peace statue สีฟ้าหม่นเป็นฉากหลัง ผมยืนบันทึกภาพนี้ไว้ด้วยตาเปล่า เพราะในระยะขนาดนี้ กล้องติดโทรศัพท์ไม่สามารถถ่ายทอดอะไรได้นอกจากแค่ถ่ายภาพติด
แต่เทียบอะไรไม่ได้กับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เลย นึกถึงสมัยที่แบกกล้องเที่ยวถ่ายรูป แม้จะเมื่อยล้ากับอุปกรณ์หนักหลายกิโล แต่ก็ไม่ต้องมารู้สึกเสียดายกับช่วงเวลาแบบนี้
หามุมถ่ายรูปน้ำพุเท่าที่เลนส์จากกล้องจำเป็นตัวนี้จะถ่ายทอดความรู้สึกและความทรงจำได้ จากนั้นก็เดินต่อไปที่ Peace statue ประติมากรรมขนาดใหญ่สีฟ้าหม่นทาบท้องฟ้าสีคราม







มีเสียงภาษาญี่ปุ่นจากนักท่องเที่ยวสาวคนหนึ่งขอให้ผมช่วยถ่ายรูปให้เธอหน่อย ผมรับกล้องจากเธอแล้วขยับให้ได้ภาพครึ่งตัว กับ Peace statue เป็นฉากหลัง
ต้องให้เห็นมากพอว่านี่คือ Peace statue ด้วย
ผู้หญิงจะคาดหวังเรื่องการถ่ายรูปต่างจากช่างภาพผู้ชาย เธอต้องการภาพของตัวเธอและหมู่คณะของเธอเป็นสำคัญ ส่วนฉากหลังเป็นแค่ตัวประกอบเพื่อเป็นพยานว่าเธอได้มาถึงที่นั่น การถ่ายเพียงภาพสถานที่โดยไม่มีตัวเธอเด่นอยู่ในภาพเป็นการกระทำที่เสียฟิล์ม เสียหน่วยความจำไปเปล่าๆ ภาพแบบนั้นเธอไปหาซื้อโปสการ์ดเอาก็ได้
ดังนั้นหากจะถ่ายภาพผู้หญิง เน้นการถ่ายภาพบุคคลไว้ครับ อย่าเน้นถ่ายภาพทิวทัศน์เป็นอันขาด










เดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงจุดที่มองเห็นวัดคาทอลิกอุราคามิ จากจุดนี้ต้องเดินต่อไปอีกเล็กน้อย แต่ผมคิดว่ากลับไปที่โรงแรมก่อนดีกว่า อาบน้ำและนั่งพักสักหน่อย เสียดายแดดสวยๆแบบนี้เหมือนกัน เพราะวันพรุ่งนี้อาจจะไม่มีแดดก็ได้เดินกลับมาทางเดิมแล้วนั่งรถรางกลับ
นึกถึงในกรุงเทพฯกำลังจะมีระบบขนส่งคล้ายๆแบบนี้ คือเป็นรถที่วิ่งในทางบังคับแต่อยู่บนผิวถนนเดียวกับรถยนต์ ติดไฟแดงเหมือนกัน
แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะวิ่งแย่งกันรับผู้โดยสาร หรือจอดนอกป้าย จอดแช่ป้าย
การกระทำอย่างนั้นแสดงถึงความเห็นแก่ตัวและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะหากขับรถรับผู้โดยสารไปตามปกติทุกคัน ก็จะได้ผู้โดยสารใกล้เคียงกันในช่วงเวลาเดียวกันอยู่แล้ว เพราะผู้โดยสารมีจำนวนที่ค่อนข้างแน่นอนจำนวนหนึ่งซึ่งต้องขึ้นรถสายนั้นแน่ๆ เขาขึ้นคันนี้ไม่ทัน เขาก็ต้องขึ้นคันถัดไป การจอดแช่ป้ายไม่ได้เพิ่มจำนวนผู้โดยสารในระบบ และจริงๆแล้วก็ไม่ได้เพิ่มจำนวนผู้โดยสารให้กับคันไดคันหนึ่งหรอก เพราะผู้โดยสารจะทยอยเดินทางมารอรถเมล์ต่างช่วงเวลากัน การแช่ป้ายเป็นเพียงการเสียประโยชน์ของทุกฝ่ายเท่านั้นเอง
แต่ระบบรถรางที่ใช้พื้นทีร่วมกับรถยนต์แบบนี้ เหมาะกับเมืองเล็กๆที่ต้องการชลอการเพิ่มของรถยนต์ในเมืองที่บ้านเรือนมีขนาดเล็ก ไม่มีอาคารใหญ่ๆ มีที่จอดรถจำกัด มันเทียบกันไม่ได้กับระบบขนส่งมวลชนที่ใช้เส้นทางของตัวเองสำหรับขนส่งคนจำนวนมากท่ามกลางการจราจรติดขัดอย่างในมหานครใหญ่ๆเช่นกรุงเทพฯ
เมืองใหญ่ๆอย่างโตเกียวเคยประสบปัญหาการขนส่งมวลชน (โดยรถไฟไต้ดิน) ไม่พอเพียงถึงขนาดที่ว่ารถแน่นจนต้องจัดเจ้าหน้าที่มาดันคนอัดเข้าไปให้ปิดประตูรถไฟได้ คนโตเกียวส่วนใหญ่อยู่บ้านขนาดเล็กมากไม่ต้องพูดถึงที่จอดรถหรือค่าใช้จ่ายในการใช้รถ ก็ต้องทนกับรถแน่นๆแบบนั้นอยู่หลายปี
ดูเหมือนคนกรุงเทพฯจะสบายกว่าคนโตเกียวตรงที่มีทางเลือกซื้อรถยนต์มาติดกันเป็นแพโดยไม่ยอมไปอัดกันในระบบขนส่งมวลชนอย่างในโตเกียวแต่ก็อย่างว่าแหละครับ คนโตเกียวอัดกันอยู่ในรถไฟ แต่ก็เดินทางรวดเร็วตามกำหนดเวลา แต่รถเมล์แน่นเป็นปลากระป๋องที่ต้องไปติดอยู่กลางถนนด้วยนั้นเป็นเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่า
ผมว่ารถราง BRT เป็นแค่ความพยายามสร้างผลงานอะไรสักอย่าง ผลงานที่วันหนึ่งอาจจะเป็นแค่เพียงอนุสาวรีย์ไว้ประจานเจ้าของผลงานเท่านั้นเอง เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯต้องการระบบขนส่งมวลชนที่เดินทางบนทางของตัวเองที่ทั่วถึง รวดเร็วและกำหนดเวลาได้ ไม่ใช่แค่ระบบสำหรับชลอการเพิ่มของรถยนต์อย่าง BRT เพราะกรุงเทพฯได้ผ่านสถานะนั้นไปแล้ว

กลับมาถึงโรงแรม เจ้าหน้าที่ส่ง Key card ให้พร้อมกับแจ้งว่ากระเป๋าของผมไปรออยู่บนห้องแล้ว ผมขอบคุณแล้วขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องพักญี่ปุ่นไม่ว่าที่ไหนก็มีที่ทางจำกัดจำเขี่ยไปหมดครับ ห้องพักโรงแรมมีขนาดเพียงประมาณหนึ่งในสามของห้องพักโรงแรมในบ้านเราเท่านั้นเอง มีเตียงขนาดนอนได้คนเดียวอยู่หนึ่งเตียง โต๊ะทำงานพร้อมกระจกซึ่งอยู่ติดกับเตียงชนิดลุกจากเตียงก็นั่งเก้าอี้ได้เลย ห้องน้ำทางด้านหน้าซึ่งหากเปิดประตูออกมาก็จะขวางทั้งห้องไว้ได้ ตู้เก็บของต่างๆเป็นแบบ Built-in ลงตัวและไม่เปลืองที่ แต่สำหรับคนที่อยู่บ้านชั้นเดียวพื้นที่กว้างๆอย่างผมรู้สึกมันเล็กมาก
จัดของเสร็จก็อาบน้ำแล้วนั่งอ่านพวกเอกสารแนะนำตัวเมืองเพิ่มเติมจากที่ค้นคว้ามาก่อนหน้านี้ วันพรุ่งนี้ผมคงมีเวลาแค่เดินดูอะไรได้อีกนิดหน่อยเท่านั้น แต่ก็ยังนับว่าเยอะครับหากเทียบกับการมาธุระต่างประเทศครั้งก่อนๆ เพราะปกติผมมักจะได้อยู่แค่ในห้องประชุมเท่านั้น เสร็จงานก็บินกลับ มาคราวนี้มาเมืองไกลปืนเที่ยงหน่อย ไม่มีไฟลต์ตรงจากกรุงเทพฯก็เลยมีเวลามากขึ้น
สมัยนี้เมืองไหนที่ไม่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯเนี่ย ต้องเรียกว่าบ้านนอกแล้วหละครับ
ได้เวลาเจ้าหน้าที่ของลูกค้าก็โทรศัพท์ขึ้นมาที่ห้อง บอกว่ารออยู่ที่ล็อบบี้ ผมวางหูแล้วก็ลงลิฟต์ไปเลย เราคุยกันถึงรายละเอียดของการบรรยายพรุ่งนี้ ผมชอบวิธีทำงานแบบนี้นะ ซักซ้อมกันชัดเจนแม้ว่าจะเป็นการบรรยายที่สั้นมาก แล้วก็มาซักซ้อมกันตอนเย็นวันอาทิตย์อีกต่างหาก ถ้ามองในแง่ของช่วงเวลาทำงานแล้วก็ออกจะเอาจริงเอาจังไป ทำเหมือนไม่มีบ้านช่องจะอยู่ แต่ถ้ามองในเรื่องของความเอาใจใส่ในการทำงานแล้วต้องนับว่าเยี่ยม การบรรยายช่วงเช้าพรุ่งนี้นอกจากผมแล้วยังมีบริษัทอีกแห่งหนึ่งจากมาเลเซียมาบรรยายด้วย เรื่องที่จะบรรยายของเขาเป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบปรับอากาศ
อนิจจา แค่ช่วงเช้าก็บรรยายเข้าไปสองระบบ เฉพาะเนื้อหาในส่วนของผมก็มากพอที่จะใช้เวลาบรรยายสองวันได้สบายๆ แต่คราวนี้ผมมีเวลาแค่ชั่วโมงเดียว
คุยกันเสร็จทางมิตซูบิชิก็พาไปหาอาหารทานกันที่ร้านใกล้ๆ อาหารก็พื้นๆสำหรับสมัยที่หาอาหารญี่ปุ่นกินได้ทุกห้างอย่างวันนี้ สมัยก่อนจะกินอาหารญี่ปุ่นในบ้านเรานี่เรื่องใหญ่นะครับ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่หาได้ง่ายๆ
เรากินอาหารไปคุยกันไป คนญี่ปุ่นดื่มเบียร์และสูบบุหรี่กันเป็นเรื่องปกติ แม้แต่ร้านอาหารปรับอากาศก็สูบบุหรี่กันได้ บุหรี่หาซื้อง่ายมากมีเครื่องจำหน่ายอยู่ทั่วไป ไม่มีการมาดูหน้าว่าเด็กหรือผู้ใหญ่มาซื้อ ในเมืองใหญ่ๆเราจะได้เห็นเด็กวัยรุ่นทั้งหญิงและชายสูบบุหรี่กันอย่างเปิดเผย ไม่ต้องไปเรียกร้องให้ควบคุมหรอกครับ สังคมเขาก้าวไปไกลเกินกว่าจะพูดถึงเรื่องนี้แล้ว และผลประโยชน์จากการค้าบุหรี่ก็มากพอจะกำหนดนโยบายของรัฐไปแล้ว (รวมทั้งผลประโยชน์อื่นๆในนโยบายด้านอื่นๆด้วย) คนญี่ปุ่นมีปัญหาสุขภาพจนเป็นเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้อัตราการฆ่าตัวตายสูงมาก
นี่คือสังคมที่ก้าวหน้าทุกๆด้านรวมทั้งการแพทย์ ผลประโยชน์ทำลายคนญี่ปุ่นในทางอ้อม ล่อใจให้เสพรส
ที่พึงใจแต่ค่อยๆฆ่าเรา แล้วสังคมก็รักษาเราไว้ไม่ให้ตายง่ายๆ ต้องทรมานกับสภาพของคนทุพพลภาพ ไร้ฐานะทางสังคม เป็นเหมือนภาระของคนอื่นในเวลาที่แทบรับภาระเพิ่มไม่ได้เลย ความตายกลับดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
เราเองก็กำลังเดินตามไปทางนั้น แนวทางที่ยอมสละจรรยาบางข้อลง แลกกับสิ่งที่เราเชื่อว่าจะให้ชีวิตที่ดีกว่า
ผมสนใจคุยเรื่องความเป็นมาของนางาซากิ แต่ดูเหมือนวิศวกรชาวญี่ปุ่นคนนี้จะสนใจกับเทคโนโลยีใหม่ๆมากกว่าและสนใจปัญหาของผมที่ใช้งานโทรศัพท์ระบบ UMTS 2100 ที่พกพามาด้วยไม่ได้ (ซึ่งผมมาทราบทีหลังว่าใช้ได้เพียงบางเมืองเท่านั้น) มากกว่าจะคุยเรื่องประวัติศาสตร์ ผมสังเกตเห็นสิ่งที่คล้ายกันไปหมดของคนต่างจังหวัดไม่ว่าจะประเทศไหน คือดูเหมือนพวกเขาจะเบื่อหน่ายกับท้องถิ่นของเขาเหลือเกิน อยากใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ๆมากกว่า คนหนุ่มสาวจำนวนมากเดินทางเข้าสู่เมืองใหญ่ ทิ้งให้ท้องถิ่นเหลือแต่เด็กและคนชรา ช่วงห้าโมงเย็นของทุกวันจะเห็นคนแก่เดินทางกันเต็มรถไฟไปหมด
ความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองใหญ่กับชนบทมีให้เห็นไม่น้อยกว่าที่ไหนในโลก (คงมีแต่ประเทศปลอมๆอย่างสิงค์โปร์มั้งครับ ที่เป็นเขตเมืองล้วนๆไม่มีชนบท แต่เขาก็มีปัญหาในแบบของเขา ปัญหาที่เขาพูดไม่ออก บอกใครเปิดเผยไม่ได้ เพราะรัฐบาลที่แสนจะมีเสถียรภาพของเขาไม่ต้องการได้ยิน)
นางาซากิก็เหมือนเมืองชนบทอื่นๆที่เต็มไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรมเนื่องจากค่าแรงงานถูก ในสมัยหนึ่งต่างจังหวัดของญี่ปุ่นเคยมีต้นทุนต่ำถึงขนาดไม่มีการระวังเกี่ยวกับมลภาวะจนนำไปสู่ปัญหาคลาสสิกอย่างโรคมินามาตะ, โรคอิไต-อิไต มาในวันนี้อุตสาหกรรมบางอย่างของญี่ปุ่นโยกย้ายออกไปหาแรงงานถูกๆและโยนความเสี่ยงด้านมลพิษออกไปประเทศอื่นๆที่ไม่รู้เท่าทัน เห็นเพียงผลประโยชน์ (ที่คนญี่ปุ่นเห็นแล้วว่าไม่คุ้ม) และถูกรัฐบาลปกปิดข้อมูลสำคัญด้านนี้
บ้านเราก็เจอกับอะไรคล้ายๆกัน และการเสนอข้อมูลด้านนี้ก็จะถูกคนกลุ่มหนึ่งประณามว่าถ่วงความเจริญ
ก็จริงของเขา คนจะพัฒนา ไปท้วงเขาก็ต้องโดนแบบนี้

นางาซากิของคนญี่ปุ่นรุ่นใหม่แม้ดูซีดเซียว แต่ชีวิตในเมืองใหญ่ที่ดูสดใสก็ไม่ได้งดงามเหมือนเทวดาบนสวรรค์อย่างที่เข้าใจ ไม่ต่างจากบ้านนอกกับเมืองกรุงในบ้านเราหรอกครับและออกจะหนักหนาสาหัสยิ่งกว่า ทุกวันนี้เราจะได้เห็นเด็กวัยรุ่นหน้าตาสวยใส แต่งตัวน่ารัก ใช้สินค้าแบรนด์เนมไปพร้อมๆกับเห็นพวกเธอเหล่านั้นนั่งทานอาหารในห้องอาหารหรูๆกับนักธุรกิจอายุคราวพ่อ เขาไม่ใช่ญาติกันหรอกครับ แต่ฝ่ายหนึ่งกำลังทำงานหาเงิน และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลูกค้า ลำพังเงินจากครอบครัวไม่มีทางพอสำหรับเครื่องสำอางค์ เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับเหล่านั้นหรอก เพราะสวรรค์บนพื้นดินนี้มีราคา ยิ่งชั้นสูง ก็ยิ่งแพง เทวดาและนางฟ้าต่างต้องดิ้นรนเพื่อรักษาทิพยสภาพนี้ไว้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องจุติกลับมาเป็นมนุษย์เดินดินธรรมดาในชนบท แล้วใครจะทนได้
คนญี่ปุ่นใช้ SMS กันอย่างคล่องแคล่ว เพราะการคุยโทรศัพท์ในรถโดยสารเป็นการรบกวนคนอื่น และเพราะบ้านในเมืองที่คับแคบจนไม่มีความเป็นส่วนตัวแม้การคุยโทรศัพท์ หรือแม้แต่บางคนที่หากระทั่งบ้านเล็กๆยังไม่ได้ ต้องหาบ้านที่ต่างเมืองแล้วนั่งรถไฟเข้าไปทำงาน ผมนึกถึงค่ารถไฟแต่ละวันที่ต้องจ่ายหลายร้อยบาทแล้วตกใจ เพราะนั่นแสดงว่าการมีบ้านในเมืองจะต้องมีค่าใช้จ่ายสูงกว่านั้นอีก
ชีวิตที่ทำงานอย่างหน่วยผลิตหน่วยหนึ่ง เพื่อจ่ายให้กับหน่วยผลิตอื่นแลกกับคุณภาพชีวิตในแบบที่ตนเองคาดหวัง แต่ผลประโยชน์จริงๆกลับตกกับคนอื่น ปล่อยให้หน่วยผลิตเหล่านี้รับจ้างประเทศของตนเองทำงาน เช่าประเทศของตนเองอาศัย มีเพียงแค่พอดำรงชีวิตอยู่ตาม Life style ที่ทำตามๆกัน แทบไม่มีอะไรเหลือให้คนข้างหลังเมื่อสิ้นลมหายใจ
เหล่านี้คือภาพของเมืองหลวงและต่างจังหวัดที่ผมได้เห็น มันไม่ต่างจากบ้านเราในเนื้อหา แต่ในรูปแบบนั้น ก้าวไปไกลอย่างน่ากลัว

เรากำลังเดินตามเขาไปอย่างหน้าชื่น ไม่ต่างจากคนต่างจังหวัดที่เห็นชีวิตในเมืองว่าเป็นชีวิตที่ดีกว่า แน่นอนว่าเรามีสิทธิจะคิดแบบนั้น และไม่ควรจะมีใครมาปิดกั้นเราจากความเจริญที่เราเห็นอยู่ชัดๆตรงหน้า
เพียงแต่วันที่เราเหนื่อยล้า โหยหาคืนวันเก่าๆ ร้องหาอัตลักษณ์ท้องถิ่นของเราที่เราทิ้งมา ทุกอย่างก็กลับเหลือเพียงความทรงจำในสิ่งที่ไม่มีทางย้อนคืนเราเดินมาแล้ว ขอให้เราทำใจไว้เถอะว่า สิ่งที่เราได้มานั้น ย่อมต้องแลกกับบางสิ่ง แม้วันนี้เราจะไม่รู้ว่าเราเอาอะไรแลกไปบ้างแล้วก็ตาม

No comments: