22 December 2007

บันทึกการเดินทาง, นางาซากิ


25 พฤศจิกายน 2550
ฟุกุโอกะ

ในที่สุดทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีจนถึงเช้า ไฟในห้องโดยสารเปิดสว่างขึ้น ท้องฟ้าด้านที่ผมนั่งเริ่มมีแสงสว่าง จากนั้นดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆสาดแสงขึ้นมาจากขอบฟ้า ผมนั่งอยู่ด้านขวาของเครื่อง ทำให้ทราบว่าขณะนี้เรายังห่างจากที่หมายพอสมควรเพราะยังอยู่ที่ระยะสูงมาก เครื่องบินยังบินขึ้นเหนืออยู่ หากเครื่องกำลังเตรียมร่อนลงจะต้องบินเลยขึ้นไปแล้วหันหัวลงไต้ครับ ข้อมูลภาพถ่ายสนามบินที่ผมดูมาก่อนมันบอกมาอย่างนั้น ผมหยิบ Pocket PC ขึ้นมาปรับเวลาไปที่ญี่ปุ่น จะได้ไม่พลาดเพราะกำหนดต่างๆจากนี้จะเป็นตามเวลาที่ญี่ปุ่นซึ่งเร็วกว่าบ้านเราสองชั่วโมง จากนั้นก็เอาหนังสือมาอ่านต่อ อ่านไปก็บันทึกไป หนังสือสมัยใหม่บางเรื่องเดี๋ยวนี้มีเนื้อหาที่มีจุดบอดค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับหนังสือ Non-fiction สมัยก่อนครับ บางเล่มก็น้ำท่วมทุ่งเนื้อหามีหน่อยเดียว

อาหารเช้ามาเสิร์ฟ ต้องกาแฟสักหน่อยครับ ผมจะต้องสดชื่นพร้อมสำหรับการเดินทางในสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน มีรายละเอียดอีกพอสมควรที่จะต้องอาศัยการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
เครื่องลดกำลังเครื่องยนต์ลง เชิดหัวขึ้นเล็กน้อย รู้สึกวูบเหมือนตอนลงลิฟต์ แสดงว่าเครื่องกำลังลดระดับแล้วครับ ด้วยระยะสูงประมาณสามหมื่นฟิตเช่นนี้ กับที่หมายที่สูงใกล้เคียงระดับน้ำทะเลก็แสดงว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมงเราจะถึงที่หมาย ตอนนี้ก็ประมาณ 7.00 น.
Airbus A320 ของบางกอกแอร์บินผ่านแผ่นดินเหนือเกาะคิวชู เลยออกไปนอกฝั่งทางด้านเหนือแล้วเลี้ยวขวาหันหัวเฉียงลงไต้ ตอนนี้ระยะสูงลดลงจนมองเห็นอะไรๆที่พื้นได้ถนัด มีโครงการก่อสร้างอยู่ทั่วไปตามชายฝั่ง ผมหยิบเอา Pocket PC ขึ้นมาถ่ายรูปอีกนิดหน่อยก็พอดีเจ้าหน้าที่ของสายการบินเขามาบอกว่าช่วงนี้ผมจะใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ไม่ได้ ก็เลยต้องเก็บไว้ครับ ไม่ได้ถ่ายรูปต่อ
เครื่องลงที่สนามบินฟุกุโอกะตามกำหนด สนามบินดูคุ้นตาเพราะเคยเห็นมาในอินเทอร์เน็ตแล้ว เครื่องแท็กซี่เข้ามาจนหยุดนิ่งที่หลุมจอดซึ่งอยู่เกือบติดอาคารผู้โดยสาร ไมได้เทียบกับ Pier อีกอยู่ดี แต่ก็ดีครับได้ลงมาเดินที่ลานบิน และไม่ไกลด้วย
เครื่องหยุดนิ่งแล้ว แต่เรายังไม่ได้รับสัญญาณว่าจะลงจากเครื่องได้ สักพักเจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่า ขณะนี้ยังไม่ได้เวลาทำงานของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เราจะต้องรอบนเครื่องจนกระทั่งประมาณ 7.45 น. เออ ดีแฮะ เพิ่งเคยเจอนี่แหละครับ ปกติสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเขาจะทำงานกัน 24 ชั่วโมง แต่ที่นี่คงจะเป็นสนามบินที่ไม่ใหญ่นัก คล้ายๆกับสนามบินตามหัวเมืองบ้านเรา
จากหน้าต่างที่ผมนั่งจะมองไปทางหัวสนามได้ เห็นไฟ Landing light ของเครื่องบินอีกลำหนึ่งกำลังลดระดับลงมา พอเข้ามาใกล้หน่อยก็พบว่าเป็น Airbus A330 ของการบินไทยที่บินตามมานี่เอง เครื่องแท็กซี่มาเทียบกับ Peir ข้างๆเรา สรุป เขามาถึงทีหลังแต่ได้เข้าเมืองพร้อมกันนะจ๊ะ
ลงจากเครื่อง อากาศไม่หนาวอย่างที่คิดไว้ครับ เย็นๆเท่านั้น วันนี้ฟ้าใสอากาศดีทีเดียว เข้าไปในอาคารผู้โดยสารระหว่างที่เดินที่ตรวจคนเข้าเมืองก็สังเกตเห็นเครื่องของ Singapore airlines บินลงมาอีกลำ ท่าทางจะมาไล่ๆกัน ผมเดินเร็วขึ้นอีกเล็กน้อยเพราะหากช้าเดี๋ยวจะคิวยาว เห็นๆอยู่ว่ามีเครื่องบินสามลำลงมาไล่ๆกันในสนามบินที่ไม่ใหญ่โตนัก

ญี่ปุ่นเพิ่งจะนำเอาเครื่องไม้เครื่องมือใหม่มาสำหรับงานตรวจคนเข้าเมืองครับ เพิ่งจะสัก 4 - 5 วันนี่เองคือตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน ก็เลยมีเจ้าหน้าที่คอยยืนถือป้ายแนะนำขั้นตอน แต่ก็ต้องบอกว่าขั้นตอนง่ายมากๆครับ มีเครื่องมือเพิ่มเข้ามาสองชิ้นคือกล้องถ่ายรูปกับเครื่องสแกนลายนิ้วมือแล้วก็จอภาพบอกคำแนะนำอีกหนึ่งจอ พอส่งพาสปอร์ตให้เขา คำแนะนำบนจอภาพก็เปลี่ยนเป็นภาษาไทยให้ เออ ดีแฮะ
ผมถอดแว่นออก มองที่กล้องตามคำแนะนำ จากนั้นก็แปะนิ้วชี้สองข้างลงบนเครื่องอ่านลายนิ้วมือ กดลงเล็กน้อย เสร็จพิธี ไม่ได้พูดอะไรกับเจ้าหน้าที่สักคำ จากนั้นก็เดินมาเอากระเป๋า ระหว่างที่รอสายพานผมก็แวะไปห้องน้ำก่อน จัดการธุระนิดหน่อยแล้วก็เปลี่ยนจากแว่นตาเป็นคอนแทคเลนส์ ออกจากห้องน้ำก็เห็นกระเป๋าเวียนเข้ามาพอดี จากนี้ผมก็ต้องเดินหา Shuttle bus ไป Domestic terminal
นั่งพักนิดหนึ่ง โทรหาแม่กะทิตามปกติ เอาโทรศัพท์ออกมาตรวจดูสัญญาณ ปรากฏว่าโทรศัพท์ของผมใช้งานกับระบบของที่นี่ไมไ่ด้แม้ว่าจะเป็นโทรศัพท์ 3G ก็ตาม เอาล่ะไว้ค่อยหาข้อมูลเพิ่ม แต่ผมจะโทรหาแม่กะทิไม่ได้น่ะสิ ผมชอบใช้ International Roaming เพราะไม่ต้องไปแลกเหรียญไม่ต้องห่วงว่าจะเผลอบรรทุกเหรียญกลับบ้านแลกคืนไม่ได้ แต่คราวนี้ท่าทางจะยุ่งๆหน่อย ผมไม่ได้สอบถามกับผู้ให้บริการตอนอยู่ที่สุวรรณภูมิว่าจะใช้โทรศัพท์ได้ตามปกติหรือเปล่า ชะล่าใจว่าใช้โทรศัพท์ 3G ซึ่งปกติจะใช้ได้ทุกที่ มาคราวนี้เจอดีเข้าจนได้
ลองอีกทางเลือกหนึ่งคือ Wireless LAN ครับ โอเคมีสัญญาณ แล้วให้ใช้ฟรีด้วย ตอนนี้ยังเช้ามากที่บ้านเรา แม่กะทิยังไม่เปิดเครื่องคุยทาง MSN ผมเลยเขียน Email ทิ้งไว้แทนว่าผมมาถึงแล้วกำลังจะเดินทางต่อ จากนั้นก็ลากกระเป๋าออกจากอาคาร
ป้ายบอกทางในสนามบินชัดเจนดี มีภาษาอังกฤษด้วย ผมไปถึงที่รอรถ Shuttle bus โดยไม่ยาก พักเดียวรถก็มา ผมก็ขึ้นไปนั่งบนรถ
เป็นไปตามภาพถ่ายดาวเทียมครับ สนามบินฟุกุโอกะวันนี้อยู่กลางใจเมืองไปแล้ว ขยับขยายอีกไม่ได้เลย บนเส้นทางรอบสนามบินจะเห็นอาคารต่างๆตั้งประชิดกับขอบเขตของสนามบิน ทราบมาว่าทางการของฟุกุโอกะกำลังมองหาสถานที่สำหรับสนามบินแห่งใหม่ซึ่งอาจจะต้องไปสร้างในทะเลเหมือนที่โอซาก้าหรือนางาซากิหรืออีกหลายๆเมือง หรือไม่งั้นก็อาศัยสนามบินเมืองใกล้เคียงแทนเพราะจำนวนเที่ยวบินเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ขนาดที่ผมนั่งรถอ้อมสนามบินแค่นี้ ยังมีเครื่องร่อนลงให้ดูเลยครับ จัดว่าเป็นสนามบินหัวเมืองที่พลุกพล่านทีเดียว แม้ว่าจะเป็นเมืองที่ค่อนข้างเล็ก อาคารไม่สูงหรือหนาแน่นอะไร พอๆกับหัวเมืองบ้านเรา
รถมาจอดที่ Domestic terminal ผมมองหาป้ายบอกทางไปรถไฟไต้ดิน ก็ไม่ยากเช่นเคยครับ สถานีรถไฟไต้ดินในเอเชียที่ไหนก็คล้ายๆกัน เิดินลงบันไดเลื่อนไปแล้วก็ยืนดูชาร์ตเส้นทางหน่อยว่าผมจะไปลงที่ไหนค่าโดยสารเท่าไหร่ ข้อมูลบนชาร์ตชัดเจนดีและมีภาษาอังกฤษด้วย คงเพราะอยู่ในสนามบินนั่นแหละ
สถานี Hakata อยู่ห่างออกไปแค่สองสถานี ค่าโดยสาร 250 เยน นี่เป็นการใช้เงินครั้งแรกและตอนนี้ผมมีเพียงธนบัตรราคาต่ำสุดก็ 1,000 เยน แต่ไม่มีปัญหาอะไรเพราะเครื่องขายตั๋วมีช่องรับธนบัตรด้วย
ตั๋วโดยสารดูเหมือนตั๋วรถไฟบ้านเราสมัยก่อนครับ เป็นกระดาษแข็งแผ่นเล็กนิดเดียว
เดินผ่านเครื่องตรวจตั๋ว หยอดและรับตั๋วตามปกติผมก็เดินลงไปที่ชานชาลา มองหาป้ายบอกว่าไปทาง Hakata ซึ่งก็ไม่ยากเพราะเป็นสถานีปลายทาง เลยไม่มีอะไรให้ต้องเดามาก ยังไงๆเขาก็ต้องไปทางนั้นอยู่แล้ว รถไฟไต้ดินที่นี่เข้าสถานีตามเวลา มีป้ายบอกเวลาเสร็จสรรพ รอพักเดียวผมก็เข้าไปนั่งในรถไฟซึ่งค่อนข้างว่าง มองไปรอบๆตัวเห็นคนในวัยทำงาน แต่งตัวธรรมดาๆแบบญี่ปุ่นคือผู้ชายก็มักจะใส่สูท บางคนก็ใส่แจ๊คเก็ตธรรมดา สังเกตว่าคนที่นี่แต่งตัวไม่ค่อยมีสีสันเหมือนกับเมืองใหญ่ๆอย่างโอซาก้า
รถไฟใช้เวลาเดินทางประมาณสิบนาทีก็มาถึงสถานี Hakata ชื่อของสถานีนี้เป็นชื่อของเมืองด้วย เพราะในสมัยโบราณเมืองฟุกุโอกะเป็นเมืองค้าขาย มีทั้งพ่อค้าใหญ่และขุนนางที่นี่ โดยเมืองทางฝั่งที่พวกขุนนางอยู่เขาเรียกว่าชื่อเมืองว่าฟุกุโอกะ ส่วนฟากที่พ่อค้าอยู่เขาเรียกว่าฮาคาตะ แต่เดี๋ยวนี้ใช้ชื่อฟุกุโอกะชื่อเดียว คำว่า Hakata จะใช้เป็นชื่อเฉพาะ เหมือนเรามีสยามสแควร์อะไรทำนองนั้น

ผมเดินมาตามทางจนถึงในตัวสถานี ตอนนี้เลยเวลา 9.00 น. ไปแล้ว ผมจะต้องไปรถเที่ยว 10.00 น. แทน ซึ่งก็ไม่ซีเรียสอะไรครับ ยังมีเวลาให้พลาดได้อีก หาชาร์ตของรถไฟไปนางาซากิหรือเมืองใกล้เคียงคือ Sasebo แต่ไม่ยักเจอแฮะ เห็นแต่เส้นทางไปทางตะวันออกอย่างโอซาก้า ท่าทางผมจะมาผิดฟาก มองไปทางอีกฟากหนึ่งของอาคาร เออ ท่าจะใช้ ผมเดินข้าม ความจริงต้องเรียกว่าลอดถึงจะถูกเพราะตอนนี้ผมอยู่ไต้ชานชาลา ฟากนี้มีชาร์ตของเส้นทางไปนางาซากิครับ แต่จะซื้อตั๋วยังไงล่ะนี่ เพราะคำแนะนำในชาร์ตค่อนข้างคลุมเครือสำหรับคนที่อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกอย่างผม ภาษาอังกฤษบนชาร์ตมีค่อนข้างน้อยครับ เดินเข้าในใน Ticket office เืพื่อซื้อตั๋วจากเจ้าหน้าที่จะดีกว่า่ บอกเขาช้าๆพร้อมกับทำมือไปด้วยว่าผมจะไปนางาซากิ หนึ่งคน เที่ยว 10.00 น. เขาก็จัดการพิมพ์ตั๋วให้พร้อมกับยื่นเครื่องคิดเลขให้ดูว่าราคาตั๋วเท่าไหร่ ก่อนจะออกมาจากเคาน์เตอร์ผมถามก่อนว่า รถจอดรางที่เท่าไหร่ ก็ทราบว่าจอดที่ Track 2 โอเคครับ ผมได้ชื่อขบวนรถ ได้เวลาออกเดินทาง และได้ตำแหน่งของรางแล้ว ที่เหลือคือ เดินไปรอให้ถูกราง เดี๋ยวรถจะมาเทียบเองตามเวลา
สอบถามเจ้าหน้าที่ตรงจุดตรวจตั๋วอีกหน่อยว่าผมจะเดินไปทางไหนถึงจะไปโผล่ที่ราง 2 จากนั้นก็หยอดตั๋วแล้วรับตั๋วจากเครื่องตรวจตั๋วตามปกติ เหมือนๆกับเราขึ้นรถ BTS ที่กรุงเทพฯครับ
เหลือเวลาอีกร่วมๆชั่วโมงผมเลยเดินดูอะไรไปเรื่อยๆ สถานีนี้มีรถไฟเข้าออกตลอดเวลาครับ ดูวุ่นวายกว่าหัวลำโพงมากแม้ว่าจะเล็กกว่า ผู้คนก็เช่นเคยแต่งตัวค่อนข้างธรรมดาไม่มีสีสันเหมือนเมืองใหญ่ๆอย่างกรุงเทพฯหรือสิงค์โปร์
แต่ละรางจะมีป้ายอิเลคโทรนิคส์บอกชื่อ ที่หมายและเวลาที่รถไฟขบวนถัดไปจะเข้าเทียบรางนั้นๆ ผมหยิบตั๋วรถไฟขึ้นมาดูอีกหน่อย บนตั๋วมีแต่ภาษาญี่ปุ้น มีตัวเลขที่บอกว่าตั๋วราคาเท่าไหร่ กับวันที่ออกตั๋วเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรที่ผมอ่านออกจะบอกว่าไปที่ไหน เพื่อความแน่ใจผมสอบถามเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม ก็ได้ข้อมูลเดิมคือเวลา 10.00 น.ที่ราง 2 และเพิ่มอีกนิดหน่อยคือนั่งตู้ที่ 4, 5, 6

รถไฟขบวนที่ผมจะไปเข้าเทียบก่้อนเวลาประมาณ 10 นาที ผมลากกระเป๋าเข้าไปในตู้ที่ 4 หาที่นั่งเรียบร้อย เดาเอาว่าคงไม่ระบุที่นั่ง ถ้านั่งผิดค่อยให้เขาไล่เอา อยากไม่ระบุไว้ในตั๋วนี่หว่า
ในรถมีป้ายอิเลคโทรนิคส์บอกข้อมูลของชื่อรถ ที่หมาย ตอนนี้อยู่ที่สถานีไหน สถานีถัดไป ทั้งภาษาญี่ปุ้นและภาษาอังกฤษ โอเคครับผมขึ้นไม่ผิดขบวนแน่ แต่จะนั่งถูกที่หรือเปล่าค่อยว่ากัน
ภายในรถดูคล้ายๆรถโดยสารวีไอพีดูเรียบร้อย เบาะที่นั่งสบายกว่าบนเครื่องบินครับ ผมนั่งริมหน้าต่างเช่นเคยจะได้ดูอะไรๆไปด้วย การเดินทางช่วงนี้แค่สองชั่วโมงกับวิวข้างทางที่ผมไม่คุ้นเคย ก็เลยคิดว่าไม่ต้องเอาหนังสือขึ้นมาอ่านแก้เบื่อ เอาแค่ Pocket PC คู่ชีพก็พอ
รถออกเดินทางตามเวลาเป๊ะ พอวิ่งออกมาได้สักสิบนาทีก็ออกนอกเมืองฟุกุโอกะ เห็นทุ่งนาแล้วครับ แต่เป็นช่วงเตรียมดินก็เลยได้เห็นทุ่งที่มีดินที่ไถไว้ใหม่ๆหรือกำลังไถด้วยแทร็คเตอร์ เมืองเล็กๆก็แบบนี้แหละครับ ผมเอา Pocket PC ออกมาใช้ GPS ตรวจดูความเร็ว ก็พบว่ารถไฟ Kamome ไม่ได้วิ่งเร็วอะไร แค่ประมาณ 80 กม./ชม.พอๆกับรถด่วนบ้านเรา เพียงแต่สถานีของเขาห่างกันมากครับไม่ต้องหยุดบ่อยนัก

นั่งมาถึงสถานีหนึ่ง ชื่ออะไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว ก็มีคุณปู่คนหนึ่งมากับคุณย่า แต่ตอนนี้ที่นั่งริมหน้าต่างมีคนนั่งหมดแล้วครับ คุณปู่กับคุณย่าก็เลยแยกกันนั่ง โดยคุณย่านั่งที่นั่งด้านหน้าของผม ส่วนคุณปู่ก็มานั่งข้างผม ผมมองเห็นคุณปู่เดินมือไม้สั่น มีกระเป๋าถือมาสองใบ ก็เลยอาสาช่วยคุณปู่ยกกระเป๋าไปไว้ใน Compartment เหนือศีรษะ คุณปู่กล่้าวขอบอกขอบใจว่า Thank you คงมองออกว่าผมเป็นกะเหรี่ยงแฮะ
สักพักคุณปู่ก็สะกิดผมแล้วยื่นเบียร์มาให้หนึ่งกระป๋อง ผมโบกมือบอกกับคุณปู่ว่าผมไม่ดื่มครับขอบคุณคุณปู่มาก โอโห...คุณปู่พกเมีย เอ๊ย... พกเบียร์มาด้วยเหรอเนี่ย มือไม้สั่นจนเบียร์แทบหกเนี่ยนะครับ รถไฟญี่ปุ่นให้ทานอาหารและเครื่องดื่มได้ครับ และมีบริการด้วย อาหารและเบียร์กลิ่นเบาบางมาก ไม่รบกวนกัน แต่ว่าเขาไม่ให้ใช้โทรศัพท์บนรถไฟนะครับ มีป้ายบอกชัดเจน ไมได้ปรับหรือจับอะไรหรอกแต่จะรบกวนคนอื่นเขา จะใช้ก็ใช้เงียบๆเช่นใช้อ่าน Email หรือ SMS แต่อย่าคุย

เส้นทางต่างจังหวัดของญี่ปุ่นก็คล้ายๆกับบ้านเราครับ แต่ทุ่งนาของเขาไม่กว้างใหญ่สุดตาเท่าของเรา และมีบ้านเรือนอยู่ถี่กว่าเรา ตามเส้นทางเป็นที่ราบเป็นส่วนใหญ่ จะมีภูเขาบ้างรถไฟก็ใช้วิธีทะลุเข้าไปเลย ไม่ต้องไต่เขากระดึ๊บๆอย่างบ้านเรา เมืองเล็กๆระหว่างทางก็มีเด็กเล็กหรือก่อนวัยรุ่น ไม่งั้นก็คนแก่ มีคนทำงานเกษตรกรรมหรือการค้าที่เป็นคนหนุ่มสาวอยู่ไม่มากครับ ก็คงเหมือนกับบ้านนอกทุกที่ ที่คนหนุ่มสาวละทิ้งถิ่นฐานเข้าไปเผชิญชีวิตในเมืองใหญ่กันหมด
นายตรวจมาแล้วครับ เป็นชายหนุ่มท่าทางคล่องแคล่วร่าเริง มาถึงที่หน้าตู้ก็โค้งคำนับแล้วก็พูดทำนองว่า (ฟังไม่รู้เรื่องครับ พูดแต่ภาษาญี่ปุ่น) ขอตรวจตั๋วนะคร้าบบบบ ทำนองนั้น ว่าแล้วก็เดินมาขอตั๋วไปเจาะรู แล้วก็ติ๊กลงในสมุดบันทึกทีละคนว่านั่งที่นั่งหมายเลขอะไรบ้าง มาถึงคุณปู่น้องเขาก็ถอดหมวกออกคุยกับคุณปู่อย่างสุภาพมากๆ พอตรวจตั๋วคุณปู่เสร็จก็ตรวจตั๋วผม เออ รอดไปไม่มีปัญหาเรื่องที่นั่ง
คนต่างจังหวัดก็แบบนี้ทุกที่ครับไม่ว่าจะประเทศไหนคือ น่ารัก สุภาพ ดูไม่รีบร้อน ฟอร์มเท่อย่างคนในเมือง
คุณปู่กับคุณย่าลงจากรถไฟก่อนถึงนางาซากิหนึ่งสถา่นี ผมจัดการยกกระเป๋าให้คุณปู่ตามเคย จากนั้นเราก็ร่ำลากันสั้นๆด้วยการคำนับให้กัน ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่มีโอกาสได้ช่วยเหลือคนเดินทางและมีโอกาสได้ช่วยเหลือบ่อยๆเมื่อเทียบกับการช่วยเหลือแบบอื่นๆ คงเพราะเหตุนี้กระมังทำให้การงานผมไม่ค่อยมีอุปสรรค โดยเฉพาะการเดินทางผมจะค่อนข้างโชคดี ผมเชื่อในเรื่องของกรรมเสมอ ว่าสิ่งที่เราทำลงไปไม่ว่าจะดีหรือเลว จะย้อนกลับมาสนองเราเสมอไม่ช้าก็เร็ว การให้จึงเป็นสิ่งที่ควรทำให้เป็นปกติด้วยความสบายและปลอดโปร่งใจ จะได้ผลดีตั้งแต่เริ่มลงมือทำ ไม่ต้องมารอผลอะไรอีก

สถานีต่างจังหวัดก็คล้ายๆกับสถานีรถไฟต่างจังหวัดบ้านเราครับ บางสถานีก็เหงาๆ มีเก้าอี้เก่าๆ พื้นสถานีบางจุดแสดงให้เห็นว่ารถไฟญี่ปุ่้นเคยเปลี่ยนแปลงระดับสูงจากพื้นมาไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง เพราะมีร่องรอยของการก่อสร้างเพิ่มเติมเพื่อยกระดับพื้นชานชาลาเืพื่อให้พื้นชานชาลาเสมอกับพื้นรถไฟ
เออ ตรงนี้ผมยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมบ้านเราไม่ยอมทำพื้นชานชาลาให้่เสมอกับพื้นรถ

รถชลอความเร็วลง ผมมองเห็นถังเก็บก๊าซรูปทรงกลมที่คุ้นตาจากภาพในอินเทอร์เน็ต นี่คือสถานีปลายทางแล้ว

บันทึกการเดินทาง, นางาซากิ

24 พฤศจิกายน 2550
เรา คือกะทิ แม่กะทิและผม ออกจากบ้านราวๆสามทุ่มเพื่อมาสุวรรณภูมิ ปกติบ้านผมจะไม่ค่อยนิยมเดินทางมาส่งกันที่สนามบินเพราะไม่อยากไปเกะกะสนามบินที่แน่นขนัดอยู่แล้ว แต่คราวนี้แม่ของกะทิเขาอยากมาเราก็เลยมากันทั้งครอบครัว เรียกแท็กซี่จากที่บ้านมาเลยครับออกจากซอยบ้านตรงด้านถนนศรีนครินทร์ก็ขึ้น วงแวนกาญจนาภิเษกช่วงบางพลี-สุขสวัสดิ์ได้เลย แล้วก็แยกไปทางสุวรรณภูมิอีกหน่อย ใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น ถนนวงแหวนนี้ทำให้สุวรรณภูมิใกล้บ้านผมขึ้นเยอะหากเทียบกับสมัยก่อนที่หากวัดระยะทางจากสี่แยกบางนาซึ่งเป็นจุดที่จากบ้านผมจะแยกไปสุวรรณภูมิหรือดอนเมืองจากจุดนี้จะพบว่าไม่ว่าจะไปสุวรรณภูมิหรือดอนเมืองก็แทบไม่ต่างกัน แต่พอใช้วงแหวนนี่ สุวรรณภูมิใกล้กว่ากันเยอะเลยครับ
มาถึงสุวรรณภูมิก็จัดการเช็คอินก่อนเลย ความที่มาเร็วก็เลยได้เลือกว่าจะนั่ง Window Seat หรือ Aisle Seat ซึ่งปกติบินค่อนข้างยาวแบบนี้เลือกนั่ง Aisle Seat จะสะดวกครับจะลุกไปห้องน้ำก็ไปได้เลยไม่ต้องขยับขยายกันเอิกเกริกเหมือนไปนั่ง Window Seat ซึ่งอยู่ในสุด แต่ความที่ระยะเวลาบิน 6 ชั่วโมงกับผมมักไม่ค่อยต้องห่วงเรื่องห้องน้ำห้องท่า และเครื่องจะไปถึงเอาตอนเช้าผมอยากดูอะไรๆนอกเครื่องมากกว่า ก็เลยเลือก Window Seat
ส่งกระเป๋าขึ้นสายพานไป โดยเอาเสื้อแจ็คเก็ตติดตัวไว้ เพราะมีข้อมูลว่าอุณหภูมิที่ฟุกุโอกะอยู่ที่ประมาณสิบองศา หนาวประมาณภาคเหนือตอนหน้าหนาว เอาเสื้อกันหนาวไว้ใกล้มือก่อนดีกว่าไปคาดหวังกับผ้าห่มบนเครื่อง เดี๋ยวต้องนั่งขดเพราะหนาวจะทรมานครับ เสร็จแล้วก็แลกเงินไว้ใช้นิดหน่อย แล้วเราสามคนก็ไปหากาแฟร้อนๆทานกันที่ขั้น 3 เสร็จแล้วผมก็ไปส่งพวกเขาขึ้นรถ Shuttle bus กลับบ้าน ความคุ้นเคยกับสมัยเดินตรวจสนามบินทำให้ผมพาครอบครัวไปรอรถที่ชั้นล่าง ซึ่งความจริงจะสะดวกกว่าหากไปรอที่ชั้น 4 เพราะที่ชั้น 4 จะเป็น Express route ครับ วิ่งจาก Terminal ไปที่ท่ารถเลย แต่หากมารอที่ชั้นล่างจะได้นั่งรถ Ordinary route ซึ่งจะพาไปไหนต่อไหนเช่น Cargo terminal ด้วย
พอพาครอบครัวขึ้นรถกลับบ้านไปแล้วผมก็มานั่งเล่นที่ห้องรับรองของบางกอกแอร์เพื่อรอขึ้นเครื่องซึ่งมีเวลาอีกนานพอสมควรคือตอนเกือบๆตีหนึ่งครับ

พอได้เวลาเจ้าหน้าที่ของบางกอกแอร์เขาก็มาบอกให้เดินไปขึ้นเครื่องได้แล้ว ปกติเครื่องของบางกอกแอร์จะออกจากประตูด้าน Concourse C ซึ่งใกล้กับห้องรับรองมากครับ แต่คราวนี้ไปจอดซะ Concourse D
หากสงสัยว่า Concourse D อยู่ตรงไหน ลองนึกถึงอาคารเทียบเครื่องบินของสนามบินสุวรรณภูมิว่าเหมือนกับตัว H นะครับ ขาซ้ายของตัว H จะเป็น Concourse A ตรงเอวเป็น Concourse B ตรงแขนซ้ายเป็น Concourse C แล้วตรงสะพานเชื่อมไปด้านขวาเป็น Concourse D ครับ เป็นส่วนที่ยาวที่สุดของอาคาร แล้วเจ้ากรรมประตูที่จะไปขึ้นเครื่องก็ไปอยู่ซะตรงกลาง Concourse เลย เดินกันสนุกไปเลยครับ ร่วมๆสามร้อยเมตร ก็ยังดีครับเพราะหากเป็นจากเอวซ้ายไปเอวขวา คือจาก Concourse B ไป Councourse F ซึ่งเป็นเส้นทางที่ยาวที่สุดล่ะก็ เกือบหนึ่งกิโลเมตรครับ ต้องนั่งรถไฟฟ้าบริการไป ไม่งั้นผู้โดยสารอาจจะหัวใจวายไปก่อนจะได้ขึ้นเครื่อง
พอไปถึงประตู ตรวจเอกสารอีกนิดหน่อยอ้าวไม่ใช่ Peir เดินเข้าเครื่องได้เลยแฮะแต่เป็น Remote gate ต้องนั่งรถไปขึ้นเครื่องอีกทีหนึ่ง พอลงไปที่รถก็เห็นป้ายบนตัวรถบอกว่าสมุยหรืออะไรนี่แหละครับ เพื่อความมั่นใจว่าผมจะขึ้นรถไม่ผิดคันก็เลยเดินกลับมาถามเจ้าหน้าที่ที่ประตูสัก หน่อยว่าคันนี้แน่นะ

มาถึงเครื่องตอนแรกนึกว่าผู้โดยสารคงไม่มากเท่าไหร่แต่ปรากฏว่านั่งกันสลอนเกือบเต็มเครื่อง ออกบินกลางคืนแบบนี้ปกติผมจะเลือกนั่งที่นั่งใกล้ทางเดินแต่อย่างที่บอกไว้ ตั้งแต่แรกครับว่าบินไม่นานจนผมต้องเข้าห้องน้ำ และอยากดูอะไรๆตอนเช้าด้วยก็เลยเลือกนั่งริมหน้าต่าง ผู้โดยสารในเครื่องส่วนใหญ่เป็นขาวญี่ปุ่น รวมทั้งสองคนที่นั่งติดผมด้วย ที่นั่งบน Airbus A320 ของบางกอกแอร์ก็คับแคบตามแบบของชั้น Economy ครับแต่ว่าตรงที่นั่งแถวที่ 11 กับ 12 น่าสนใจหากเลือกได้นะครับเพราะจะติด Emergency Exit กลางเครื่อง ทำให้ระยะระหว่างแถวหน้าห่างมากด้วย เหยียดแข้งเหยีดขาได้มากหน่อยแต่ด้านข้างก็ยังคับแคบเช่นเดิม ถ้าอยากนั่งสบายหน่อยก็ต้องซื้อตั๋วชั้นธุรกิจครับ จะมีพื้นที่มากขึ้นมาหน่อย

นั่งกับที่ รัดเข็มขัดแล้วก็เปิดดูคู่มือความปลอดภัย ดูป้ายบอกทางออกซึ่งเป็นขั้นตอนที่ผมทำทุกครั้งที่ขึั้นเครื่องจากนั้นก็รอเขาเข็นเครื่องออกเดินทางครับ เครื่องขึ้นบินตามปกติโดยใช้ทิศทางลมของหน้าหนาวคือวิ่งทวนลมขึ้นไปทางเหนือ ดึกๆแบบนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้ดูครับ รายการทีวีบนเครื่องก็งั้นๆ อ่านหนังสือดีกว่า
สักพักใหญ่ๆก็มีการเสิร์ฟอาหารว่างในภาชนะดูไม่คุ้นตาเพราะบางกอกแอร์มีครัวของตัวเองไม่ได้ซื้อจากครัวการบินไทยเหมือนกับสายการบินอื่นๆ อาหารอะไรผมก็จำไม่ได้แล้วครับเพราะไม่เลวและไม่ดีเลิศจนจำได้ ผ่านช่วงอาหารว่างไปแล้วเขาก็หรี่ไฟในห้องโดยสาร
ปกติบินกลางคืนผมก็ไม่มีอะไรมาก ความที่หลับบนรถโดยสารจนคล่องแคล่วสามารถนั่งหลับได้สบายโดยไม่อ้าปากหวอกินลมหรือน้ำลายไหลยืดให้เสียกริยา แต่คราวนี้เกิดเป็นอะไรก็ไม่ทราบรู้สึกปวดฉี่ขึ้นมาเล็กๆเสียงั้น แล้วไม่ใช่มาปวดเอาตอนใกล้จะถึงที่หมายนะครับ แต่รู้สึกตั้งแต่ตีสามเอง
แต่ก็เป็นแค่รู้สึกนะครับเหมือนมีอะไรมาหลอกให้เรารู้สึกปวดฉี่แต่ความจริง ไม่ได้ปวด ก็ทำใ้รู้สึกกังวล หลับไม่ลงเลย นึกถึงอยู่เรื่อยๆว่าหากทนไม่ไหวจะต้องไปห้องน้ำจะทำไงหว่า มีอีกตั้งสองคนนั่งอยู่ในที่นั่งแคบๆก่อนจะถึงทางเดิน หากจะออกไปจริงๆก็จะต้องขอให้สองคนนี้ลุกขึ้นออกไปที่ทางเดินก่อนเพราะ พื้นที่แคบมาก ได้แต่บอกตัวเองเหมือนเช่นเคยครับว่าเราเคยผ่านอะไรๆที่ยากลำบากกว่านี้มา แล้ว แค่นี้ไม่มีอะไรหรอก
ความยากลำบากก็มีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งตรงนี้แหละครับ

บันทึกการเดินทาง, นางาซากิ

22 พฤศจิกายน 2550
เตรียมการเดินทาง
เรื่องของเรื่องก็คือ บริษัทที่ผมรับจ้างเขาอยู่ มีงานชิ้นหนึ่งมอบหมายให้ผมไปทำที่นางาซากิ ก็เลยมีโอกาสได้ไปเมืองนอกอีกครั้ง ภารกิจคราวนี้เป็นงานที่ไปรับมาจากบริษัทญี่ปุ่น โครงการอยู่ที่เวียตนาม แต่ไปฝึกอบรมพนักงานของเวียตนามที่ญี่ปุ่นครับ โดยผมเป็นวิทยากรในการฝึกอบรมกับเขาด้วย หลังจากที่เตรียม PowerPoint เรียบร้อย ผมก็จัดการเรื่องวีซ่า โดยศึกษาไปด้วยว่าจะเดินทางยังไง เพราะท่าทางน้องคนที่ดูแลเรื่องนี้ที่บริษัทท่าทางจะยุ่งๆอยู่
หากคิดแว่บแรก จะไปนางาซากิก็คงต้องไปตั้งหลักที่โตเกียวหรือโอซาก้าก่อน เพราะสายการบินที่ไปนางาซากิจะเป็นสายการบินในประเทศไม่งั้นก็ต้องบินมาจาก จีนหรือเกาหลี
แต่ถ้าค้นต่ออีกหน่อยจะพบว่าเราบินตรงจากกรุงเทพฯไปลงที่ฟุกุโอกะได้ แล้วจากฟุกุโอกะเราก็เดินทางด้วยรถไฟอีกสองชั่วโมงก็จะถึงกลางเมืองนางา ซากิเลย ไม่ต้องนั่งรถอีกไกลมากจากสนามบินเข้าเมือง ตกลงไปฟุกุโอกะดีกว่า เมืองเล็กๆดีด้วย เดินทางสะดวกดีครับ ว่าแล้วก็จัดแจงให้น้องเขาดูแลเรื่องตั๋วเครื่องบินให้ ส่วนที่พักทางโน้นเขาแนะนำให้เราเรียบร้อย ท่าทางจะสะดวกมากด้วยเพราะอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ ก็ขอให้น้องเขาจัดการเรื่องที่พักด้วย
เรียบร้อยครับ มีทั้งตั๋วเครื่องบิน ห้องพัก แค่นี้ก็เป็นส่วนสำคัญทั้งหมดของการเดินทางแล้ว บวกกับจดหมายเชิญจากทางญี่ปุ่นผมก็มีทุกอย่างที่จะไปขอวีซ่าสบายๆ วีซ่าใช้เวลาเพียงสามวันก็ไปรับหนังสือเดินทางคืนได้
การเดินทางคราวนี้นายจ้างเขาให้เวลามาเหลือเฟือ ความที่เครื่องบินไปถึงเอาเช้า กว่าจะเดินทางไปถึงที่ทำงานอีก ก็เลยต้องเดินทางล่วงหน้านิดหน่อย ทำให้มีเวลาหายใจหายคอบ้าง แล้วหลังจากงานเสร็จก็ต้องรอกลับตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ทำให้การทำงานเพียงไม่เกินสองชั่วโมงในวันจันทรค์คราวนี้ ต้องใช้เวลาตั้งแต่คืนวันเสาร์เพื่อออกเดินทางไปถึงตอนเช้าวันอาทิตย์ จากนั้นก็กลับในวันอังคาร ทำให้ผมมีเวลาพอสมควรที่จะเดินเที่ยวก่อนและหลังทำงานครับ ไม่เหมือนคราวก่อนๆที่เรียกว่าพอไปถึงก็ลงมือทำงานเลย และพอเสร็จงานก็ขึ้นเครื่องกลับเพราะดันไปทำงานเมืองใหญ่ๆที่มีเครื่องบิน กลับบ้านเราได้วันละหลายๆเที่ยว
จะว่าไปกรุงเทพฯของเรานี่ก็เมืองใหญ่นะครับ จะไปเมืองใหญ่ๆจากกรุงเทพฯก็หาเครื่องบินได้ง่ายและมีทางเลือกเยอะแยะ มันก็เลยทำให้การไปติดต่องานกับเมืองใหญ่ๆแทบไม่ต้องรอคอยเครื่องบินมากนัก ข้อเสียคืออดเที่ยว
เครื่องบินจากกรุงเทพฯไปฟุกุโอกะมีเพียงวันละ 1-2 เที่ยวครับ คือของการบินไทยมีทุกวัน ส่วนบางกอกแอร์มีวันเว้นวัน บินในเวลาใกล้เคียงกัน ผมเลยเลือกบางกอกแอร์เพราะอยากนั่งเครื่องที่เล็กหน่อย บางกอกแอร์ใช้เครื่อง Airbus 320 ซึ่งลำขนาดเท่าๆกับ Boeing 737 ไม่ใหญ่มาก มีช่องเดินกลางเครื่องแค่ช่องเดียว ขณะที่การบินไทยใช้เครื่อง Airbus A330 มี 2 ช่องทางเดินกลางเครื่อง ทำให้ดูน่าขนลุกเวลาขึ้นไปแล้วเห็นคนนั่งกันแน่นขนัด อีกอย่างหนึ่งบางกอกแอร์มีห้องรับรองที่นั่งสบายกว่าห้องรับรองของการบิน ไทยที่สุวรรณภูมิครับ ความจริงพื้นที่รับรองของการบินไทยที่สุวรรณภูมิ (Economy/Transit Launge) ของการบินไทยทีสุวรรณภูมิก็จัดว่าดีกว่าสมัยอยู่ดอนเมืองพอสมควรนะครับ แต่พอดีว่ามีบางกอกแอร์เป็นทางเลือกอีกอันสำหรับผมเท่านั้นเอง
ระหว่างที่ศึกษาข้อมูลการเดินทาง ก็ได้โอกาสข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับนางาซากิมาด้วย เป็นเมืองที่น่าสนใจครับ นางาซากิเป็นเมืองท่าที่เปิดรับชาวต่างชาติคือโปรตุเกสเป็นแห่งแรกใน ญี่ปุ่นและยังคงเป็นประตูสู่ต่างชาติแม้ในช่วงที่ปิดประเทศ มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมานาน ที่น่าสนใจอีกอันหนึ่งคือ ขนมพื้นบ้านของนางาซากิอันหนึ่งคือ คาสุเตระนั้นมาจาก Castella ซึ่งผมคาดว่าน่าจะมีอะไรๆที่คล้ายกับขนมของไทยบางอย่างด้วย ไว้ต้องไปเดินหาสักหน่อย
สถานที่ท่องเที่ยวในนางาซากิจะมีสองแบบคือ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมต่างชาติกับส่วนที่เกี่ยวข้องกับสงครามโลก ซึ่งทั้งสองส่วนอยู่ไม่ห่างจากสถานีรถไฟและที่พักไม่มากครับ และเดินทางได้สะดวกด้วยรถราง
ไปทำงานคราวนี้คงได้มีโอกาสดูอะไรๆมากหน่อยครับ ไม่ใช่แค่รีบๆไปแล้วอยู่แต่ในห้องประชุมเหมือนคราวก่อนๆ
อินเทอร์เน็ตทำให้เราได้ข้อมูลสำคัญๆได้ดีทีเดียวครับ ได้เห็นภาพของสนามบินฟุกุโอกะ สถานีรถไฟฮาคาตะ สถานีรถไฟนางาซากิ และจุดต่างๆด้วยภาพถ่ายจากดาวเทียม แล้วยังได้ดูภาพถ่ายมุมต่างๆของสถานที่เหล่านี้ด้วย ได้เห็นภาพของอาคารสนามบินที่แยกกันระหว่าง International กับ Domestic อยู่คนละฟากของสนามบินโดยมีบริการ Shuttle bus เชื่อมต่อ เห็นชานชาลาสถานีรถไฟ เห็นลักษณะเด่นของสถานีรถไฟนางซากิที่มีหลังคาโค้งยื่นออกมาจากอาคารข้าง เคียงกับมีทีวีจอใหญ่ แล้วก็ถังทรงกลมบรรจุก๊าซที่ใกล้ๆกับสถานี ภาพพวกนี้ทำให้ผมคุ้นเคยกับสถานที่ได้เร็วมากแทบจะในทันทีที่ไปถึงครับ แผนการเดินทางโดยละเอียดถูกบันทึกลงใน Pocket PC รวมทั้งแผนสำรองด้วย ผมจะไปถึงสนามบินฟุกุโอกะในตอนเช้าวันเสาร์ จากนั้นก็นั่งรถ Shuttle bus ไปที่ Domestic terminal จากนั้นก็นั่งรถไต้ดินไป 2 สถานีไปขึ้นที่ Hakata แล้วก็ซื้อตั๋วรถไฟ Kamome เที่ยว 9.00 น. ไปนางาซากิ ซึ่งหากผมพลาดรถไฟเที่ยวนี้ก็จะไปเที่ยว 10.00 น. แทน และจะไปถึงนางาซากิเอาประมาณเที่ยง จากนั้นก็มีเวลาเดินเที่ยวจนถึง 17.00 น. นัดคุยกับเจ้าหน้าที่ของลูกค้าเกี่ยวกับรายละเอียดของงานในวันรุ่งขึ้น ส่วนขากลับผมจะนั่งรถเที่ยว 6.00 น. หรือหากพลาดก็เป็นเที่ยว 7.30 น. มาฟุกุโอกะเพื่อขึ้นเครื่องตอนประมาณ 10.00 น. และขึ้นบินกลับตอน 11.00 น.
สำรองข้อมูล PowerPoint ไปด้วย การบิน 6 ชั่วโมงกับเครื่องที่ไม่มีจอทีวีส่วนตัวให้ดูอาจจะน่าเบื่อสักนิดผมก็ เตรียมหนังสือไปอ่านจำนวนหนึ่ง ก็โอเคแล้วครับพร้อมทุกอย่างสำหรับการเดินทาง

19 December 2007

บันทึกการเดินทาง, นางาซากิ

25 พฤศจิกายน 2550
นางาซากิ
รถไฟคาโมเมะพาผมมาถึงนางซากิตามกำหนดคือร่วมๆเที่ยง พอลงจากรถไฟมองมาทางปลายสถานีก็ได้เห็นหลังคาโค้งที่คุ้นตาจากภาพที่เห็นทางอินเทอร์เน็ต คืนตั๋วเสร็จก็ออกมาที่ลานตรงหน้าสถานี ไต้หลังคาโค้ง แวะถามข้อมูลอีกหน่อยว่าโรงแรมไปทางไหนซึ่งก็เป็นไปตามคาดครับ อยู่ติดกับสถานนีนี่เอง ใช้เวลาเดินแค่ครึ่งนาทีก็ถึง
แนะนำตัวกรอกเอกสารเสร็จ พนักงานต้อนรับก็บอกว่า โรงแรมเช็คอินตอนบ่ายสอง ผมยังต้องรออีก 2 ขั่วโมงถึงจะเช็คอินได้
ก็ไม่เป็นไรครับ ผมฝากกระเป๋าเดินทางไว้แล้วก็ออกมาเดินเที่ยวเล่นเลย ก่อนจะออกมาก็สอบถามเสียหน่อยว่าผมจะนั่งรถรางไปที่ลงที่ไหนถึงจะใกล้กับอนุสรณ์สถาน ก็ได้แผนที่มาแผ่นหนึ่ง โอเค มีภาษาอังกฤษด้วย

แค่นี้ผมก็เที่ยวได้ถึงเย็นแล้วครับอย่าว่าแต่บ่ายสองเลย
กะว่าจะเดินยาวแล้วกลับเข้ามาก่อนห้าโมงเย็นทันนัดกับลูกค้าไว้ที่โรงแรม

เดินมาที่สถานีรถราง รถรางที่นี่ก็วิ่งบนถนนกับรถทั่วไปครับติดไฟแดงเหมือนกัน แต่ผมว่าเข้าท่ากว่ารถเมล์นะเพราะความที่วิ่งบนรางก็เลยไม่มีประเภทจอดนอกป้ายซ้อนคันให้เกะกะแล้วก็ไม่มีแย่งกันรับผู้โดยสาร ไม่มีจอดแช่ป้าย อาจจะจอดนานหากมีผู้โดยสารขึ้นลงเยอะ ที่กรุงเทพฯกำลังจะมีรถโดยสารคล้ายๆกับแบบนี้ แต่ที่เมืองชายขอบอย่างนางาซากิมีมาตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกแล้วครับ
รถรางที่นี่เขาขึ้นที่ประตูบานหลังเวลาลงก็ลงทางประตูบานหน้า ก่อนลงก็หยอดเหรียญ 100 เยนเป็นค่าโดยสาร จะนั่งไปไกลแค่ไหนก็ 100 เยนขาดตัว
ยืนดูชาวนางาซากิเขาลงจากรถไฟสักนิดครับเพื่อซักซ้อมความเข้าใจว่าผมเข้าใจถูกจากนั้นก็ลุยเลย
ขึ้นไปก็เจอดีเลยแฮะน้องนักเรียนคนหนึ่งนั่งหลับอยู่ รูปร่างหน้าตาการแต่งตัวน่ารักเหมือนในหนังสือเลยครับ ก็เลยได้นั่งแอบมองน้องเขาเพลิน จนมาถึงสถานีที่จะลง ก็กดกริ่งบอกคนขับว่าเราจะลงสถานีนี้
ลงรถมาพร้อมกับความเสียดายนิดหน่อย เดินมารอสัญญาณไฟข้ามถนน ไปที่ Hypocenter ครับ จุดนี้คือตำแหน่งที่ระเบิดปรมาณูระเบิดที่จุดสูงขึ้นไป 500 เมตร

ในวันที่แดดใสแบบนี้ นางาซากิสวยเหมือนเมืองในฝันครับ แม้ว่าสนามหญ้าจะไม่เขียวสด แต่ฟ้าใสๆกับใบเมเปิ้ลสีแดง ถนนและตึกรามเล็กๆเรียงรายเล่นระดับกันไปบนเชิงเขา ทำให้นางาซากิดูสดใสน่ารักแม้จะเป็นเมืองที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าห้าสิบปีก่อนหน้านี้ นางาซากิสวยแบบนี้หรือเปล่า แต่ลองนึกถึงเมืองที่มีความผสมผสานกันระหว่างหลากหลายเชื้อชาติตั้งแต่ยุโรป จีน เกาหลีและญี่ปุ่น วัฒนธรรมที่ได้รับอิทธิพลทั้งจากลัทธิโรมันคาทอลิกมาจนถึงพุทธมหายาน ขงจื๊อและชินโต ผมเชื่อว่าภาพที่ผมได้เห็นคงไม่ต่างกันนักกับวันนั้น
แล้วลองนึกสิครับว่า ภาพงดงามเหมือนวาดนี จะสลายลงในพริบตาเหลือเพียงซากบิดเบี้ยวและเปลวเพลิง
ผมใจหายครับ

เดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บนเชิงเขาเหนือ Hypocenter ไปนิดเดียว
ค่าชม 200เยน อย่าไปแปลงหน่วยให้เสียความรู้สึกเลยครับเอาเป็นว่าเทียบกับอาหารธรรมดาๆมือละ 600 เยนแล้วก็ต้องบอกว่าถูกมาก ผมเดินไปกดซื้อบัตรจากเครื่องขายซึ่งวิธีใช้งานก็คล้ายๆกับเครื่องขายบัตรโดยสารรถไฟฟ้าบ้านเรานั่นแหละครับ ได้บัตรมาแล้วเจ้าหน้าที่เขายังมีน้ำใจเรียกผมเข้าไปหาแล้วยื่นเอกสารเล็กๆมาให้ประกอบการชม
ในนี้เขาไม่ให้ถ่ายรูปครับ เก็บกล้องไว้ได้เลย แต่ก็น่าเสียดายที่ทำให้ไม่มีรูปชัดๆมาอวด ก็ได้อาศัยรูปจากเอกสารที่เขาแจกมาแทนครับ
ห้องแรกเลยก็เป็นภาพของช่วงเวลาก่อนที่ระเบิดลูกนั่นจะระเบิดขึ้น ภาพของชีวิตในเมืองนางาซากิ รวมทั้งภาพของคนญี่ปุ่นในยามสงครามทั้งกิจกรรมทั่วไปและการฝึกซ้อมรบ

แล้วก็ถึงภาพของเวลานั้น 11.02 นาฬิกา
ลูกไฟกลมใหญ่สว่างขึ้นเหนือเขตอุราคามิ จากนั้นก็ห้อหุ้มด้วยกลุ่มควันทรงกลมที่ขยายแทรกออกมาจากกลางลูกไฟ ลอยขึ้นพร้อมกับทิ้งควันกลุ่มเดิมไว้เบื้องล่างก่อให้เกิดเป็นรูปทรงคล้ายดอกเห็ด
ข้างล่างนั้นเป็นหายนะ
รัศมีหนึ่งกิโลเมตรจากจุดระเบิด ไม่มีชีวิตหลงเหลืออยู่เลย เมืองทั้งเมืองถูกกำปันยักษ์ที่มองไม่เห็นทุบลงกองราบกับพื้น แม่กับลูกนอนตายเคียงกันอย่างไม่รู้ชะตากรรมว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง
ในห้องนี้ทุกอย่างดูเงียบงันเหมือนเวลาหยุดอยู่ตรงนั้น ผมถอยหลังเล็กน้อยเพื้อให้เห็นภาพของวัดอุราคามิชัดๆ เป็นสิ่งปลูกสร้างที่จำลองมาบางส่วนด้วยขนาดจริง ได้เห็นเสาและซุ้มประตูโค้งของวัดในเสี้ยววินาทีก่อนที่ะจะไม่หลงเหลืออะไร วัดคาทอลิคที่สง่างาม วัดคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียของวันนั้น มรดกของชาวตะวันตกที่เข้ามาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับญี่ปุ้นมายาวนาน ศรัทธาของมนุษย์เล็กๆที่สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่
ภาพทั้งหมดนี้ ราบลงกับพื้นเหลือไวัเพียงเศษซากของกำแพงและเสาซุ้มประตู
พระเจ้าทอดทิ้งมนุษย์อีกครั้งแล้วหรือ หรือนี่เป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนเมื่อคราวที่พระเยซูถูกตรึง เหมือนทุกครั้งที่มนุษย์ละทิ้งพระเจ้า

ห้องถัดมาแสดงความเป็นมาของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องตามลำดับตั้งแต่การคัดเลือกเมืองที่จะเป็นเป้าหมาย จนถึงวัน่ที่ Bockscar เครื่องบิน B-29 ที่นำเอา Fat man ลงมาทำหน้าที่ตามที่ออกแบบไว้
Fat man เป็นระเบิดที่ทำจาก Plutonium-239 ครับ ต่างจากลูกที่ระเบิดเหนือฮิโรชิมาเมื่อ 6 วันก่อนหน้านั้น ลูกนั้นชื่อ Little boy ใช้ Uranium-235
ทั้งสองลูกมีหลักการเหมือนกัน คือเมื่อมีเชื้อเพลิงนิวเคลียร์จำนวนมากพอที่จะเกิดระเบิดขึ้น
วิธีก็คือ แบ่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ออกเป็นส่วนย่อยๆมากกว่าหนึ่งส่วน แต่ละส่วนจะมีจำนวนเชื้อเพลิงไม่พอที่จะระเบิด
จากนั้นก็กระแทกทั้งหมดเข้าด้วยกันเป็นก้อนเดียว ทำให้ได้ก้อนเชื้อเพิงที่มีปริมาณเกินมวลวิกฤติ เราก็จะได้ระเบิดปรมาณู
ง่ายๆแค่นี้แหละครับหากหาเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ได้มากพอก็สร้างระเบิดนิวเคลียร์ได้
ระเบิดแบบที่ใช้ Uranium-235 นั่นเพียงแบ่ง Uranium-235 ออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งทำเป็นเหมือนลูกกระสุน อีกส่วนเป็นเหมือนเป้า แล้วยิงลูกกระสุนเข้าใส่เป้า (จ่อยิงเลยครับ) ก็ใช้ได้แล้ว เมื่อไม่นานมานี้ตอนที่อเมริกาสกัดกั้นการขนส่งท่อเหล็กชนิดที่ทำลำกล้องปืนไปให้อิรักก็เพราะเหตุนี้ครับ เพราะเจ้าท่อนี่แหละที่จะเอาไปใช้เป็นลำกล้องสำหรับยิง Uranium เข้าใส่กันเป็นระเบิดประมาณู

อเมริกาตอนนั้นใช้ Uranium-235 ที่มีอยู่ทั้งหมดมาผลิต Little boy ทิ้งใส่ฮิโรชิมา ส่วนที่ทิ้งลงนางาซากิต้องใช้ Plutonium-239 ซึ่งผลิตมาพร้อมๆกัน แต่การจะอัด Plutonium-239 เข้าด้วยกันจะซับซ้อนกว่าการอัด Uranium-235 ครับ โดยมี Plutonium-239 จำนวนหนึ่งอยู่ตรงกลาง ส่วนที่เหลือจะวางอยู่รอบๆ แล้วใช้ดินระเบิดยิงส่วนที่อยู่รอบๆให้ยุบลงไปอัดกับตรงกลาง
Fat man เลยมีรูปร่างป้อมๆครับเพราะกลไกสำคัญเป็นรูปทรงกลม
จากนั้นก็เป็นตัวอย่างของความเสียหายหลากรูปหลายแบบทั้งภาพของบันไดและภาพคนที่ประทับอยู่กับผนัง ขวดแก้วที่ละลายบิดเบี้ยว กล่องข้าวกลางวันที่ข้างในไหม้เป็นถ่าน แสดงถึงความรุนแรงของระเบิดที่ไม่เคยมีระเบิดไหนรุนแรงเท่านี้มาก่อน
ความเสียหายจากระเบิดปรมาณูยังไม่ได้หมดลงเพียงแค่แรงระเบิดและความร้อน แต่ยังทำให้มนุษย์ที่ยังไม่ตายทันทีต้องทุกข์ทรมาณจากกัมมันตภาพรังสีปริมาณสูง ส่วนต่างๆของร่างกายที่ทำงานผิดปกติไปตั้งแต่หยุดทำงานและพาให้ระบบต่างๆล้มเหลว หรือแม้แต่ทำงานเกินพอดีจนไปเบียดเบียนส่วนอื่นให้ล้มเหลวไป ความเสียหายนี้ลึกซึ้งและยาวนานมาจนถึงวันนี้

แล้วก็มาถึงส่วนที่สะเทือนใจผมที่สุดส่วนทีผมต้องหยุด ถอยออกมาสงบจิตใจแล้วกลับเข้าไปดูใหม่อีกหลายรอบกว่าจะผ่านไปได้ และจนถึงตอนที่เขียนตรงนี้บนเครื่องบิน ผมก็ยังต้องหยุดเขียนอยู่หลายครั้ง

คนที่ตายลงทันทีอาจจะเป็นผู้ที่โชคดีกว่า เพราะยังมีอีกนับแสนคนที่ทนทุกข์ทรมานทั้งจากบาดแผล และความสูญเสีย คนที่เหลือเพียงตัวคนเดียวในโลก มองหาญาติพี่น้องที่เหลือเพียงร่างไหม้เกรียม แม่กอดลูกที่อ่อนแรงไว้กับอก เด็กน้อยอ่อนล้าจนไม่มีแรงแม้จะดูดนมจากอกแม่ แม่เฝ้าประคองลูกน้อยไว้จนวาระสุดท้ายและเห็นเขาจากไปต่อหน้าต่อตา ขัดสนไร้กำลังหรือหนทางจะรั้งชีวิตลูกไว้ได้ แล้วแม่จะเหลืออะไรไว้ให้สู้ชีวิตอีก

ในความย่อยยับนั้น สิ่งที่แสดงความยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติคือน้ำใจเสียสละช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ภาพที่ประทับใจผมทุกครั้ง ภาพที่ทำให้ผมศรัทธาในอำนาจของมนุษย์ทุกครั้งที่ได้เห็น ไม่ใช่ภาพของผู้พิชิตที่ครอบครองโลกไว้ด้วยอาชญา แต่เป็นภาพของความเสี่ยสละของมนุษย์ที่ช่วยเหลือเพื่อนร่วมทุกข์ อาสาสมัครมากมายหลั่งไหลสู้พื้นที่หายนะ บางท่านช่วยเหลือผู้อื่นแม้ชีวิตของตนเองจะมีเหลืออยู่เพียงอีกไม่กี่วัน พนักงานรถไฟที่นำขบวนรถไฟเข้าสู่ซากปรักหักพังเพื่อขนย้ายผู้ทียังรอดชีวิตมารักษาพยาบาล นายแพทย์ที่กลับมาถึงบ้านเพียงเพื่อพบกับศพของภรรยา ส่วนตนเองแม้เจ็บป่วยจากกัมมันตภาพรังสี แต่ไม่หยุดช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จนถึงวันสุดท้ายของตนเอง
คนเหล่านี้แทบไมมีชื่ออะไรในประวัติศาสตร์ แต่คนเหล่านี้แหละครับ ที่ทำให้มนุษยชาติแข็งแกร่ง ไม่ใช่เพราะผู้พิชิตทั้งหลายหรอก
คงไม่เพียงแต่ผมคนเดียวที่สะเทือนใจกับภาพต่างๆในห้องนี้ หลายคนสูดลมหายใจเข้าแรงๆให้ได้ยินในห้องนี้

เดินออกมาจากห้องนี้ก็พบกับความจริงอีกสิ่งหนึ่งของมนุษย์ การตัดสินด้วยความรุนแรงที่สุดท้ายมนุษย์ทั้งสองฝ่ายต่างก็จะพบว่าตนเองวนเวียนอยู่กับความขัดแย้งจับต้นขนปลายไม่ถูกว่าเกิดขึ้นมาจากอะไร รู้แต่เพียงต่างต้องมอบความเสียหายให้แก่กันไม่จบสิ้น ก่อนที่ญี่ปุ้นจะเสียหายย่อยยับถึงเพียงนี้ญึ่ปุ่นอยู่กับความรุนแรงเนิ่นนานตั้งแต่การรุกรานแมนจูเรียไล่ลงไปจีน เอเชียตะวันออกเฉียงไต้ จนกระทบกระเทือนประโยชน์ของเจ้าอาณานิคมเดิมเช่นอังกฤษ จากนั้นก็เป็นสงครามมหาเอเชียบูรพา แล้วความหวาดระแวงการแทรกแซงจากอเมริกาก็ทำให้ญี่ปุ่นก่อสงครามแปซิฟิก สงครามที่ทำให้ความขัดแย้งในยุโรปและเอเชียกลายเป็นเรื่องเดียวกัน สงครามโลก

ห้องนี้จัดลำดับเหตุการณ์ต่างๆก่อนที่จะมาเป็นสงครามโลก ให้ได้เห็นว่าสิ่งนี้มีที่มาที่ไป และไม่ใช่ญี่ปุ่นฝ่ายเดียวที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ ไม่ใช่ญี่ปุ่นเพียงฝ่ายเดียวที่สูญเสียไปกับสงครามนิวเคลียร์ ยุโรปตะวันออก สหภาพโซเวียตเดิม หรือแม้แต่อเมริกา ล้วนแต่เจ็บปวดและสุญเสียไปกับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ดินแดนบางส่วนเสียหายจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้จนถึงทุกวันนี้ คนงานเหมืองแร่กัมมันตภาพรังสีที่ไม่เครับยรู้ว่าพวกตนกำลังทำานอยู่กับอะไร สิ่งเหล่านี้เหมือนกับนางาซากิกำลังบอกกับเราว่า นี่ไม่ใช่เพียงอนุสรณ์แห่งความสูญเสีย แต่นี่คืออนุสรณ์ให้ระลึกถึงการอยู่ร่วมกันของมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสรรพสิ่งรอบตัว การอยู่ร่วมกันโดยสันติ สมดุลและพอเพียง

นางาซากิเหมือนจะพยายามหยุดกาลเวลาไว้ แม้โลกจะก้าวต่อไป แม้ความเปลี่ยนแปงจะเป็นสิ่งเดียวที่เป็นนิรันดร์ แต่นางาซากิก็ได้แสดงให้เห็นว่ามนุษยชาติยังคงเหมือนเดิม ทั้งทุกข์และสุขเท่าเดิม ยัง งมีความขัดแย้งและสันติภาพ ยังคงมีการเอาชนะและยอมจำนนแก่ธรรมชาติ มีทั้งผู้พิชิตและผู้เสียสละ

ความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ แต่ก็เหมือนเพียงวงล้อที่หมุนไป ผู้มีปัญญาจึงจะได้อยู่กลางวงล้อ หยุดนิ่งและเฝ้ามองทุกสิ่งหมุนไปอย่างเข้าใจ