22 December 2007

บันทึกการเดินทาง, นางาซากิ

24 พฤศจิกายน 2550
เรา คือกะทิ แม่กะทิและผม ออกจากบ้านราวๆสามทุ่มเพื่อมาสุวรรณภูมิ ปกติบ้านผมจะไม่ค่อยนิยมเดินทางมาส่งกันที่สนามบินเพราะไม่อยากไปเกะกะสนามบินที่แน่นขนัดอยู่แล้ว แต่คราวนี้แม่ของกะทิเขาอยากมาเราก็เลยมากันทั้งครอบครัว เรียกแท็กซี่จากที่บ้านมาเลยครับออกจากซอยบ้านตรงด้านถนนศรีนครินทร์ก็ขึ้น วงแวนกาญจนาภิเษกช่วงบางพลี-สุขสวัสดิ์ได้เลย แล้วก็แยกไปทางสุวรรณภูมิอีกหน่อย ใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น ถนนวงแหวนนี้ทำให้สุวรรณภูมิใกล้บ้านผมขึ้นเยอะหากเทียบกับสมัยก่อนที่หากวัดระยะทางจากสี่แยกบางนาซึ่งเป็นจุดที่จากบ้านผมจะแยกไปสุวรรณภูมิหรือดอนเมืองจากจุดนี้จะพบว่าไม่ว่าจะไปสุวรรณภูมิหรือดอนเมืองก็แทบไม่ต่างกัน แต่พอใช้วงแหวนนี่ สุวรรณภูมิใกล้กว่ากันเยอะเลยครับ
มาถึงสุวรรณภูมิก็จัดการเช็คอินก่อนเลย ความที่มาเร็วก็เลยได้เลือกว่าจะนั่ง Window Seat หรือ Aisle Seat ซึ่งปกติบินค่อนข้างยาวแบบนี้เลือกนั่ง Aisle Seat จะสะดวกครับจะลุกไปห้องน้ำก็ไปได้เลยไม่ต้องขยับขยายกันเอิกเกริกเหมือนไปนั่ง Window Seat ซึ่งอยู่ในสุด แต่ความที่ระยะเวลาบิน 6 ชั่วโมงกับผมมักไม่ค่อยต้องห่วงเรื่องห้องน้ำห้องท่า และเครื่องจะไปถึงเอาตอนเช้าผมอยากดูอะไรๆนอกเครื่องมากกว่า ก็เลยเลือก Window Seat
ส่งกระเป๋าขึ้นสายพานไป โดยเอาเสื้อแจ็คเก็ตติดตัวไว้ เพราะมีข้อมูลว่าอุณหภูมิที่ฟุกุโอกะอยู่ที่ประมาณสิบองศา หนาวประมาณภาคเหนือตอนหน้าหนาว เอาเสื้อกันหนาวไว้ใกล้มือก่อนดีกว่าไปคาดหวังกับผ้าห่มบนเครื่อง เดี๋ยวต้องนั่งขดเพราะหนาวจะทรมานครับ เสร็จแล้วก็แลกเงินไว้ใช้นิดหน่อย แล้วเราสามคนก็ไปหากาแฟร้อนๆทานกันที่ขั้น 3 เสร็จแล้วผมก็ไปส่งพวกเขาขึ้นรถ Shuttle bus กลับบ้าน ความคุ้นเคยกับสมัยเดินตรวจสนามบินทำให้ผมพาครอบครัวไปรอรถที่ชั้นล่าง ซึ่งความจริงจะสะดวกกว่าหากไปรอที่ชั้น 4 เพราะที่ชั้น 4 จะเป็น Express route ครับ วิ่งจาก Terminal ไปที่ท่ารถเลย แต่หากมารอที่ชั้นล่างจะได้นั่งรถ Ordinary route ซึ่งจะพาไปไหนต่อไหนเช่น Cargo terminal ด้วย
พอพาครอบครัวขึ้นรถกลับบ้านไปแล้วผมก็มานั่งเล่นที่ห้องรับรองของบางกอกแอร์เพื่อรอขึ้นเครื่องซึ่งมีเวลาอีกนานพอสมควรคือตอนเกือบๆตีหนึ่งครับ

พอได้เวลาเจ้าหน้าที่ของบางกอกแอร์เขาก็มาบอกให้เดินไปขึ้นเครื่องได้แล้ว ปกติเครื่องของบางกอกแอร์จะออกจากประตูด้าน Concourse C ซึ่งใกล้กับห้องรับรองมากครับ แต่คราวนี้ไปจอดซะ Concourse D
หากสงสัยว่า Concourse D อยู่ตรงไหน ลองนึกถึงอาคารเทียบเครื่องบินของสนามบินสุวรรณภูมิว่าเหมือนกับตัว H นะครับ ขาซ้ายของตัว H จะเป็น Concourse A ตรงเอวเป็น Concourse B ตรงแขนซ้ายเป็น Concourse C แล้วตรงสะพานเชื่อมไปด้านขวาเป็น Concourse D ครับ เป็นส่วนที่ยาวที่สุดของอาคาร แล้วเจ้ากรรมประตูที่จะไปขึ้นเครื่องก็ไปอยู่ซะตรงกลาง Concourse เลย เดินกันสนุกไปเลยครับ ร่วมๆสามร้อยเมตร ก็ยังดีครับเพราะหากเป็นจากเอวซ้ายไปเอวขวา คือจาก Concourse B ไป Councourse F ซึ่งเป็นเส้นทางที่ยาวที่สุดล่ะก็ เกือบหนึ่งกิโลเมตรครับ ต้องนั่งรถไฟฟ้าบริการไป ไม่งั้นผู้โดยสารอาจจะหัวใจวายไปก่อนจะได้ขึ้นเครื่อง
พอไปถึงประตู ตรวจเอกสารอีกนิดหน่อยอ้าวไม่ใช่ Peir เดินเข้าเครื่องได้เลยแฮะแต่เป็น Remote gate ต้องนั่งรถไปขึ้นเครื่องอีกทีหนึ่ง พอลงไปที่รถก็เห็นป้ายบนตัวรถบอกว่าสมุยหรืออะไรนี่แหละครับ เพื่อความมั่นใจว่าผมจะขึ้นรถไม่ผิดคันก็เลยเดินกลับมาถามเจ้าหน้าที่ที่ประตูสัก หน่อยว่าคันนี้แน่นะ

มาถึงเครื่องตอนแรกนึกว่าผู้โดยสารคงไม่มากเท่าไหร่แต่ปรากฏว่านั่งกันสลอนเกือบเต็มเครื่อง ออกบินกลางคืนแบบนี้ปกติผมจะเลือกนั่งที่นั่งใกล้ทางเดินแต่อย่างที่บอกไว้ ตั้งแต่แรกครับว่าบินไม่นานจนผมต้องเข้าห้องน้ำ และอยากดูอะไรๆตอนเช้าด้วยก็เลยเลือกนั่งริมหน้าต่าง ผู้โดยสารในเครื่องส่วนใหญ่เป็นขาวญี่ปุ่น รวมทั้งสองคนที่นั่งติดผมด้วย ที่นั่งบน Airbus A320 ของบางกอกแอร์ก็คับแคบตามแบบของชั้น Economy ครับแต่ว่าตรงที่นั่งแถวที่ 11 กับ 12 น่าสนใจหากเลือกได้นะครับเพราะจะติด Emergency Exit กลางเครื่อง ทำให้ระยะระหว่างแถวหน้าห่างมากด้วย เหยียดแข้งเหยีดขาได้มากหน่อยแต่ด้านข้างก็ยังคับแคบเช่นเดิม ถ้าอยากนั่งสบายหน่อยก็ต้องซื้อตั๋วชั้นธุรกิจครับ จะมีพื้นที่มากขึ้นมาหน่อย

นั่งกับที่ รัดเข็มขัดแล้วก็เปิดดูคู่มือความปลอดภัย ดูป้ายบอกทางออกซึ่งเป็นขั้นตอนที่ผมทำทุกครั้งที่ขึั้นเครื่องจากนั้นก็รอเขาเข็นเครื่องออกเดินทางครับ เครื่องขึ้นบินตามปกติโดยใช้ทิศทางลมของหน้าหนาวคือวิ่งทวนลมขึ้นไปทางเหนือ ดึกๆแบบนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้ดูครับ รายการทีวีบนเครื่องก็งั้นๆ อ่านหนังสือดีกว่า
สักพักใหญ่ๆก็มีการเสิร์ฟอาหารว่างในภาชนะดูไม่คุ้นตาเพราะบางกอกแอร์มีครัวของตัวเองไม่ได้ซื้อจากครัวการบินไทยเหมือนกับสายการบินอื่นๆ อาหารอะไรผมก็จำไม่ได้แล้วครับเพราะไม่เลวและไม่ดีเลิศจนจำได้ ผ่านช่วงอาหารว่างไปแล้วเขาก็หรี่ไฟในห้องโดยสาร
ปกติบินกลางคืนผมก็ไม่มีอะไรมาก ความที่หลับบนรถโดยสารจนคล่องแคล่วสามารถนั่งหลับได้สบายโดยไม่อ้าปากหวอกินลมหรือน้ำลายไหลยืดให้เสียกริยา แต่คราวนี้เกิดเป็นอะไรก็ไม่ทราบรู้สึกปวดฉี่ขึ้นมาเล็กๆเสียงั้น แล้วไม่ใช่มาปวดเอาตอนใกล้จะถึงที่หมายนะครับ แต่รู้สึกตั้งแต่ตีสามเอง
แต่ก็เป็นแค่รู้สึกนะครับเหมือนมีอะไรมาหลอกให้เรารู้สึกปวดฉี่แต่ความจริง ไม่ได้ปวด ก็ทำใ้รู้สึกกังวล หลับไม่ลงเลย นึกถึงอยู่เรื่อยๆว่าหากทนไม่ไหวจะต้องไปห้องน้ำจะทำไงหว่า มีอีกตั้งสองคนนั่งอยู่ในที่นั่งแคบๆก่อนจะถึงทางเดิน หากจะออกไปจริงๆก็จะต้องขอให้สองคนนี้ลุกขึ้นออกไปที่ทางเดินก่อนเพราะ พื้นที่แคบมาก ได้แต่บอกตัวเองเหมือนเช่นเคยครับว่าเราเคยผ่านอะไรๆที่ยากลำบากกว่านี้มา แล้ว แค่นี้ไม่มีอะไรหรอก
ความยากลำบากก็มีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งตรงนี้แหละครับ

No comments: