22 December 2007

บันทึกการเดินทาง, นางาซากิ


25 พฤศจิกายน 2550
ฟุกุโอกะ

ในที่สุดทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีจนถึงเช้า ไฟในห้องโดยสารเปิดสว่างขึ้น ท้องฟ้าด้านที่ผมนั่งเริ่มมีแสงสว่าง จากนั้นดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆสาดแสงขึ้นมาจากขอบฟ้า ผมนั่งอยู่ด้านขวาของเครื่อง ทำให้ทราบว่าขณะนี้เรายังห่างจากที่หมายพอสมควรเพราะยังอยู่ที่ระยะสูงมาก เครื่องบินยังบินขึ้นเหนืออยู่ หากเครื่องกำลังเตรียมร่อนลงจะต้องบินเลยขึ้นไปแล้วหันหัวลงไต้ครับ ข้อมูลภาพถ่ายสนามบินที่ผมดูมาก่อนมันบอกมาอย่างนั้น ผมหยิบ Pocket PC ขึ้นมาปรับเวลาไปที่ญี่ปุ่น จะได้ไม่พลาดเพราะกำหนดต่างๆจากนี้จะเป็นตามเวลาที่ญี่ปุ่นซึ่งเร็วกว่าบ้านเราสองชั่วโมง จากนั้นก็เอาหนังสือมาอ่านต่อ อ่านไปก็บันทึกไป หนังสือสมัยใหม่บางเรื่องเดี๋ยวนี้มีเนื้อหาที่มีจุดบอดค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับหนังสือ Non-fiction สมัยก่อนครับ บางเล่มก็น้ำท่วมทุ่งเนื้อหามีหน่อยเดียว

อาหารเช้ามาเสิร์ฟ ต้องกาแฟสักหน่อยครับ ผมจะต้องสดชื่นพร้อมสำหรับการเดินทางในสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน มีรายละเอียดอีกพอสมควรที่จะต้องอาศัยการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
เครื่องลดกำลังเครื่องยนต์ลง เชิดหัวขึ้นเล็กน้อย รู้สึกวูบเหมือนตอนลงลิฟต์ แสดงว่าเครื่องกำลังลดระดับแล้วครับ ด้วยระยะสูงประมาณสามหมื่นฟิตเช่นนี้ กับที่หมายที่สูงใกล้เคียงระดับน้ำทะเลก็แสดงว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมงเราจะถึงที่หมาย ตอนนี้ก็ประมาณ 7.00 น.
Airbus A320 ของบางกอกแอร์บินผ่านแผ่นดินเหนือเกาะคิวชู เลยออกไปนอกฝั่งทางด้านเหนือแล้วเลี้ยวขวาหันหัวเฉียงลงไต้ ตอนนี้ระยะสูงลดลงจนมองเห็นอะไรๆที่พื้นได้ถนัด มีโครงการก่อสร้างอยู่ทั่วไปตามชายฝั่ง ผมหยิบเอา Pocket PC ขึ้นมาถ่ายรูปอีกนิดหน่อยก็พอดีเจ้าหน้าที่ของสายการบินเขามาบอกว่าช่วงนี้ผมจะใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ไม่ได้ ก็เลยต้องเก็บไว้ครับ ไม่ได้ถ่ายรูปต่อ
เครื่องลงที่สนามบินฟุกุโอกะตามกำหนด สนามบินดูคุ้นตาเพราะเคยเห็นมาในอินเทอร์เน็ตแล้ว เครื่องแท็กซี่เข้ามาจนหยุดนิ่งที่หลุมจอดซึ่งอยู่เกือบติดอาคารผู้โดยสาร ไมได้เทียบกับ Pier อีกอยู่ดี แต่ก็ดีครับได้ลงมาเดินที่ลานบิน และไม่ไกลด้วย
เครื่องหยุดนิ่งแล้ว แต่เรายังไม่ได้รับสัญญาณว่าจะลงจากเครื่องได้ สักพักเจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่า ขณะนี้ยังไม่ได้เวลาทำงานของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เราจะต้องรอบนเครื่องจนกระทั่งประมาณ 7.45 น. เออ ดีแฮะ เพิ่งเคยเจอนี่แหละครับ ปกติสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเขาจะทำงานกัน 24 ชั่วโมง แต่ที่นี่คงจะเป็นสนามบินที่ไม่ใหญ่นัก คล้ายๆกับสนามบินตามหัวเมืองบ้านเรา
จากหน้าต่างที่ผมนั่งจะมองไปทางหัวสนามได้ เห็นไฟ Landing light ของเครื่องบินอีกลำหนึ่งกำลังลดระดับลงมา พอเข้ามาใกล้หน่อยก็พบว่าเป็น Airbus A330 ของการบินไทยที่บินตามมานี่เอง เครื่องแท็กซี่มาเทียบกับ Peir ข้างๆเรา สรุป เขามาถึงทีหลังแต่ได้เข้าเมืองพร้อมกันนะจ๊ะ
ลงจากเครื่อง อากาศไม่หนาวอย่างที่คิดไว้ครับ เย็นๆเท่านั้น วันนี้ฟ้าใสอากาศดีทีเดียว เข้าไปในอาคารผู้โดยสารระหว่างที่เดินที่ตรวจคนเข้าเมืองก็สังเกตเห็นเครื่องของ Singapore airlines บินลงมาอีกลำ ท่าทางจะมาไล่ๆกัน ผมเดินเร็วขึ้นอีกเล็กน้อยเพราะหากช้าเดี๋ยวจะคิวยาว เห็นๆอยู่ว่ามีเครื่องบินสามลำลงมาไล่ๆกันในสนามบินที่ไม่ใหญ่โตนัก

ญี่ปุ่นเพิ่งจะนำเอาเครื่องไม้เครื่องมือใหม่มาสำหรับงานตรวจคนเข้าเมืองครับ เพิ่งจะสัก 4 - 5 วันนี่เองคือตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน ก็เลยมีเจ้าหน้าที่คอยยืนถือป้ายแนะนำขั้นตอน แต่ก็ต้องบอกว่าขั้นตอนง่ายมากๆครับ มีเครื่องมือเพิ่มเข้ามาสองชิ้นคือกล้องถ่ายรูปกับเครื่องสแกนลายนิ้วมือแล้วก็จอภาพบอกคำแนะนำอีกหนึ่งจอ พอส่งพาสปอร์ตให้เขา คำแนะนำบนจอภาพก็เปลี่ยนเป็นภาษาไทยให้ เออ ดีแฮะ
ผมถอดแว่นออก มองที่กล้องตามคำแนะนำ จากนั้นก็แปะนิ้วชี้สองข้างลงบนเครื่องอ่านลายนิ้วมือ กดลงเล็กน้อย เสร็จพิธี ไม่ได้พูดอะไรกับเจ้าหน้าที่สักคำ จากนั้นก็เดินมาเอากระเป๋า ระหว่างที่รอสายพานผมก็แวะไปห้องน้ำก่อน จัดการธุระนิดหน่อยแล้วก็เปลี่ยนจากแว่นตาเป็นคอนแทคเลนส์ ออกจากห้องน้ำก็เห็นกระเป๋าเวียนเข้ามาพอดี จากนี้ผมก็ต้องเดินหา Shuttle bus ไป Domestic terminal
นั่งพักนิดหนึ่ง โทรหาแม่กะทิตามปกติ เอาโทรศัพท์ออกมาตรวจดูสัญญาณ ปรากฏว่าโทรศัพท์ของผมใช้งานกับระบบของที่นี่ไมไ่ด้แม้ว่าจะเป็นโทรศัพท์ 3G ก็ตาม เอาล่ะไว้ค่อยหาข้อมูลเพิ่ม แต่ผมจะโทรหาแม่กะทิไม่ได้น่ะสิ ผมชอบใช้ International Roaming เพราะไม่ต้องไปแลกเหรียญไม่ต้องห่วงว่าจะเผลอบรรทุกเหรียญกลับบ้านแลกคืนไม่ได้ แต่คราวนี้ท่าทางจะยุ่งๆหน่อย ผมไม่ได้สอบถามกับผู้ให้บริการตอนอยู่ที่สุวรรณภูมิว่าจะใช้โทรศัพท์ได้ตามปกติหรือเปล่า ชะล่าใจว่าใช้โทรศัพท์ 3G ซึ่งปกติจะใช้ได้ทุกที่ มาคราวนี้เจอดีเข้าจนได้
ลองอีกทางเลือกหนึ่งคือ Wireless LAN ครับ โอเคมีสัญญาณ แล้วให้ใช้ฟรีด้วย ตอนนี้ยังเช้ามากที่บ้านเรา แม่กะทิยังไม่เปิดเครื่องคุยทาง MSN ผมเลยเขียน Email ทิ้งไว้แทนว่าผมมาถึงแล้วกำลังจะเดินทางต่อ จากนั้นก็ลากกระเป๋าออกจากอาคาร
ป้ายบอกทางในสนามบินชัดเจนดี มีภาษาอังกฤษด้วย ผมไปถึงที่รอรถ Shuttle bus โดยไม่ยาก พักเดียวรถก็มา ผมก็ขึ้นไปนั่งบนรถ
เป็นไปตามภาพถ่ายดาวเทียมครับ สนามบินฟุกุโอกะวันนี้อยู่กลางใจเมืองไปแล้ว ขยับขยายอีกไม่ได้เลย บนเส้นทางรอบสนามบินจะเห็นอาคารต่างๆตั้งประชิดกับขอบเขตของสนามบิน ทราบมาว่าทางการของฟุกุโอกะกำลังมองหาสถานที่สำหรับสนามบินแห่งใหม่ซึ่งอาจจะต้องไปสร้างในทะเลเหมือนที่โอซาก้าหรือนางาซากิหรืออีกหลายๆเมือง หรือไม่งั้นก็อาศัยสนามบินเมืองใกล้เคียงแทนเพราะจำนวนเที่ยวบินเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ขนาดที่ผมนั่งรถอ้อมสนามบินแค่นี้ ยังมีเครื่องร่อนลงให้ดูเลยครับ จัดว่าเป็นสนามบินหัวเมืองที่พลุกพล่านทีเดียว แม้ว่าจะเป็นเมืองที่ค่อนข้างเล็ก อาคารไม่สูงหรือหนาแน่นอะไร พอๆกับหัวเมืองบ้านเรา
รถมาจอดที่ Domestic terminal ผมมองหาป้ายบอกทางไปรถไฟไต้ดิน ก็ไม่ยากเช่นเคยครับ สถานีรถไฟไต้ดินในเอเชียที่ไหนก็คล้ายๆกัน เิดินลงบันไดเลื่อนไปแล้วก็ยืนดูชาร์ตเส้นทางหน่อยว่าผมจะไปลงที่ไหนค่าโดยสารเท่าไหร่ ข้อมูลบนชาร์ตชัดเจนดีและมีภาษาอังกฤษด้วย คงเพราะอยู่ในสนามบินนั่นแหละ
สถานี Hakata อยู่ห่างออกไปแค่สองสถานี ค่าโดยสาร 250 เยน นี่เป็นการใช้เงินครั้งแรกและตอนนี้ผมมีเพียงธนบัตรราคาต่ำสุดก็ 1,000 เยน แต่ไม่มีปัญหาอะไรเพราะเครื่องขายตั๋วมีช่องรับธนบัตรด้วย
ตั๋วโดยสารดูเหมือนตั๋วรถไฟบ้านเราสมัยก่อนครับ เป็นกระดาษแข็งแผ่นเล็กนิดเดียว
เดินผ่านเครื่องตรวจตั๋ว หยอดและรับตั๋วตามปกติผมก็เดินลงไปที่ชานชาลา มองหาป้ายบอกว่าไปทาง Hakata ซึ่งก็ไม่ยากเพราะเป็นสถานีปลายทาง เลยไม่มีอะไรให้ต้องเดามาก ยังไงๆเขาก็ต้องไปทางนั้นอยู่แล้ว รถไฟไต้ดินที่นี่เข้าสถานีตามเวลา มีป้ายบอกเวลาเสร็จสรรพ รอพักเดียวผมก็เข้าไปนั่งในรถไฟซึ่งค่อนข้างว่าง มองไปรอบๆตัวเห็นคนในวัยทำงาน แต่งตัวธรรมดาๆแบบญี่ปุ่นคือผู้ชายก็มักจะใส่สูท บางคนก็ใส่แจ๊คเก็ตธรรมดา สังเกตว่าคนที่นี่แต่งตัวไม่ค่อยมีสีสันเหมือนกับเมืองใหญ่ๆอย่างโอซาก้า
รถไฟใช้เวลาเดินทางประมาณสิบนาทีก็มาถึงสถานี Hakata ชื่อของสถานีนี้เป็นชื่อของเมืองด้วย เพราะในสมัยโบราณเมืองฟุกุโอกะเป็นเมืองค้าขาย มีทั้งพ่อค้าใหญ่และขุนนางที่นี่ โดยเมืองทางฝั่งที่พวกขุนนางอยู่เขาเรียกว่าชื่อเมืองว่าฟุกุโอกะ ส่วนฟากที่พ่อค้าอยู่เขาเรียกว่าฮาคาตะ แต่เดี๋ยวนี้ใช้ชื่อฟุกุโอกะชื่อเดียว คำว่า Hakata จะใช้เป็นชื่อเฉพาะ เหมือนเรามีสยามสแควร์อะไรทำนองนั้น

ผมเดินมาตามทางจนถึงในตัวสถานี ตอนนี้เลยเวลา 9.00 น. ไปแล้ว ผมจะต้องไปรถเที่ยว 10.00 น. แทน ซึ่งก็ไม่ซีเรียสอะไรครับ ยังมีเวลาให้พลาดได้อีก หาชาร์ตของรถไฟไปนางาซากิหรือเมืองใกล้เคียงคือ Sasebo แต่ไม่ยักเจอแฮะ เห็นแต่เส้นทางไปทางตะวันออกอย่างโอซาก้า ท่าทางผมจะมาผิดฟาก มองไปทางอีกฟากหนึ่งของอาคาร เออ ท่าจะใช้ ผมเดินข้าม ความจริงต้องเรียกว่าลอดถึงจะถูกเพราะตอนนี้ผมอยู่ไต้ชานชาลา ฟากนี้มีชาร์ตของเส้นทางไปนางาซากิครับ แต่จะซื้อตั๋วยังไงล่ะนี่ เพราะคำแนะนำในชาร์ตค่อนข้างคลุมเครือสำหรับคนที่อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกอย่างผม ภาษาอังกฤษบนชาร์ตมีค่อนข้างน้อยครับ เดินเข้าในใน Ticket office เืพื่อซื้อตั๋วจากเจ้าหน้าที่จะดีกว่า่ บอกเขาช้าๆพร้อมกับทำมือไปด้วยว่าผมจะไปนางาซากิ หนึ่งคน เที่ยว 10.00 น. เขาก็จัดการพิมพ์ตั๋วให้พร้อมกับยื่นเครื่องคิดเลขให้ดูว่าราคาตั๋วเท่าไหร่ ก่อนจะออกมาจากเคาน์เตอร์ผมถามก่อนว่า รถจอดรางที่เท่าไหร่ ก็ทราบว่าจอดที่ Track 2 โอเคครับ ผมได้ชื่อขบวนรถ ได้เวลาออกเดินทาง และได้ตำแหน่งของรางแล้ว ที่เหลือคือ เดินไปรอให้ถูกราง เดี๋ยวรถจะมาเทียบเองตามเวลา
สอบถามเจ้าหน้าที่ตรงจุดตรวจตั๋วอีกหน่อยว่าผมจะเดินไปทางไหนถึงจะไปโผล่ที่ราง 2 จากนั้นก็หยอดตั๋วแล้วรับตั๋วจากเครื่องตรวจตั๋วตามปกติ เหมือนๆกับเราขึ้นรถ BTS ที่กรุงเทพฯครับ
เหลือเวลาอีกร่วมๆชั่วโมงผมเลยเดินดูอะไรไปเรื่อยๆ สถานีนี้มีรถไฟเข้าออกตลอดเวลาครับ ดูวุ่นวายกว่าหัวลำโพงมากแม้ว่าจะเล็กกว่า ผู้คนก็เช่นเคยแต่งตัวค่อนข้างธรรมดาไม่มีสีสันเหมือนเมืองใหญ่ๆอย่างกรุงเทพฯหรือสิงค์โปร์
แต่ละรางจะมีป้ายอิเลคโทรนิคส์บอกชื่อ ที่หมายและเวลาที่รถไฟขบวนถัดไปจะเข้าเทียบรางนั้นๆ ผมหยิบตั๋วรถไฟขึ้นมาดูอีกหน่อย บนตั๋วมีแต่ภาษาญี่ปุ้น มีตัวเลขที่บอกว่าตั๋วราคาเท่าไหร่ กับวันที่ออกตั๋วเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรที่ผมอ่านออกจะบอกว่าไปที่ไหน เพื่อความแน่ใจผมสอบถามเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม ก็ได้ข้อมูลเดิมคือเวลา 10.00 น.ที่ราง 2 และเพิ่มอีกนิดหน่อยคือนั่งตู้ที่ 4, 5, 6

รถไฟขบวนที่ผมจะไปเข้าเทียบก่้อนเวลาประมาณ 10 นาที ผมลากกระเป๋าเข้าไปในตู้ที่ 4 หาที่นั่งเรียบร้อย เดาเอาว่าคงไม่ระบุที่นั่ง ถ้านั่งผิดค่อยให้เขาไล่เอา อยากไม่ระบุไว้ในตั๋วนี่หว่า
ในรถมีป้ายอิเลคโทรนิคส์บอกข้อมูลของชื่อรถ ที่หมาย ตอนนี้อยู่ที่สถานีไหน สถานีถัดไป ทั้งภาษาญี่ปุ้นและภาษาอังกฤษ โอเคครับผมขึ้นไม่ผิดขบวนแน่ แต่จะนั่งถูกที่หรือเปล่าค่อยว่ากัน
ภายในรถดูคล้ายๆรถโดยสารวีไอพีดูเรียบร้อย เบาะที่นั่งสบายกว่าบนเครื่องบินครับ ผมนั่งริมหน้าต่างเช่นเคยจะได้ดูอะไรๆไปด้วย การเดินทางช่วงนี้แค่สองชั่วโมงกับวิวข้างทางที่ผมไม่คุ้นเคย ก็เลยคิดว่าไม่ต้องเอาหนังสือขึ้นมาอ่านแก้เบื่อ เอาแค่ Pocket PC คู่ชีพก็พอ
รถออกเดินทางตามเวลาเป๊ะ พอวิ่งออกมาได้สักสิบนาทีก็ออกนอกเมืองฟุกุโอกะ เห็นทุ่งนาแล้วครับ แต่เป็นช่วงเตรียมดินก็เลยได้เห็นทุ่งที่มีดินที่ไถไว้ใหม่ๆหรือกำลังไถด้วยแทร็คเตอร์ เมืองเล็กๆก็แบบนี้แหละครับ ผมเอา Pocket PC ออกมาใช้ GPS ตรวจดูความเร็ว ก็พบว่ารถไฟ Kamome ไม่ได้วิ่งเร็วอะไร แค่ประมาณ 80 กม./ชม.พอๆกับรถด่วนบ้านเรา เพียงแต่สถานีของเขาห่างกันมากครับไม่ต้องหยุดบ่อยนัก

นั่งมาถึงสถานีหนึ่ง ชื่ออะไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว ก็มีคุณปู่คนหนึ่งมากับคุณย่า แต่ตอนนี้ที่นั่งริมหน้าต่างมีคนนั่งหมดแล้วครับ คุณปู่กับคุณย่าก็เลยแยกกันนั่ง โดยคุณย่านั่งที่นั่งด้านหน้าของผม ส่วนคุณปู่ก็มานั่งข้างผม ผมมองเห็นคุณปู่เดินมือไม้สั่น มีกระเป๋าถือมาสองใบ ก็เลยอาสาช่วยคุณปู่ยกกระเป๋าไปไว้ใน Compartment เหนือศีรษะ คุณปู่กล่้าวขอบอกขอบใจว่า Thank you คงมองออกว่าผมเป็นกะเหรี่ยงแฮะ
สักพักคุณปู่ก็สะกิดผมแล้วยื่นเบียร์มาให้หนึ่งกระป๋อง ผมโบกมือบอกกับคุณปู่ว่าผมไม่ดื่มครับขอบคุณคุณปู่มาก โอโห...คุณปู่พกเมีย เอ๊ย... พกเบียร์มาด้วยเหรอเนี่ย มือไม้สั่นจนเบียร์แทบหกเนี่ยนะครับ รถไฟญี่ปุ่นให้ทานอาหารและเครื่องดื่มได้ครับ และมีบริการด้วย อาหารและเบียร์กลิ่นเบาบางมาก ไม่รบกวนกัน แต่ว่าเขาไม่ให้ใช้โทรศัพท์บนรถไฟนะครับ มีป้ายบอกชัดเจน ไมได้ปรับหรือจับอะไรหรอกแต่จะรบกวนคนอื่นเขา จะใช้ก็ใช้เงียบๆเช่นใช้อ่าน Email หรือ SMS แต่อย่าคุย

เส้นทางต่างจังหวัดของญี่ปุ่นก็คล้ายๆกับบ้านเราครับ แต่ทุ่งนาของเขาไม่กว้างใหญ่สุดตาเท่าของเรา และมีบ้านเรือนอยู่ถี่กว่าเรา ตามเส้นทางเป็นที่ราบเป็นส่วนใหญ่ จะมีภูเขาบ้างรถไฟก็ใช้วิธีทะลุเข้าไปเลย ไม่ต้องไต่เขากระดึ๊บๆอย่างบ้านเรา เมืองเล็กๆระหว่างทางก็มีเด็กเล็กหรือก่อนวัยรุ่น ไม่งั้นก็คนแก่ มีคนทำงานเกษตรกรรมหรือการค้าที่เป็นคนหนุ่มสาวอยู่ไม่มากครับ ก็คงเหมือนกับบ้านนอกทุกที่ ที่คนหนุ่มสาวละทิ้งถิ่นฐานเข้าไปเผชิญชีวิตในเมืองใหญ่กันหมด
นายตรวจมาแล้วครับ เป็นชายหนุ่มท่าทางคล่องแคล่วร่าเริง มาถึงที่หน้าตู้ก็โค้งคำนับแล้วก็พูดทำนองว่า (ฟังไม่รู้เรื่องครับ พูดแต่ภาษาญี่ปุ่น) ขอตรวจตั๋วนะคร้าบบบบ ทำนองนั้น ว่าแล้วก็เดินมาขอตั๋วไปเจาะรู แล้วก็ติ๊กลงในสมุดบันทึกทีละคนว่านั่งที่นั่งหมายเลขอะไรบ้าง มาถึงคุณปู่น้องเขาก็ถอดหมวกออกคุยกับคุณปู่อย่างสุภาพมากๆ พอตรวจตั๋วคุณปู่เสร็จก็ตรวจตั๋วผม เออ รอดไปไม่มีปัญหาเรื่องที่นั่ง
คนต่างจังหวัดก็แบบนี้ทุกที่ครับไม่ว่าจะประเทศไหนคือ น่ารัก สุภาพ ดูไม่รีบร้อน ฟอร์มเท่อย่างคนในเมือง
คุณปู่กับคุณย่าลงจากรถไฟก่อนถึงนางาซากิหนึ่งสถา่นี ผมจัดการยกกระเป๋าให้คุณปู่ตามเคย จากนั้นเราก็ร่ำลากันสั้นๆด้วยการคำนับให้กัน ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่มีโอกาสได้ช่วยเหลือคนเดินทางและมีโอกาสได้ช่วยเหลือบ่อยๆเมื่อเทียบกับการช่วยเหลือแบบอื่นๆ คงเพราะเหตุนี้กระมังทำให้การงานผมไม่ค่อยมีอุปสรรค โดยเฉพาะการเดินทางผมจะค่อนข้างโชคดี ผมเชื่อในเรื่องของกรรมเสมอ ว่าสิ่งที่เราทำลงไปไม่ว่าจะดีหรือเลว จะย้อนกลับมาสนองเราเสมอไม่ช้าก็เร็ว การให้จึงเป็นสิ่งที่ควรทำให้เป็นปกติด้วยความสบายและปลอดโปร่งใจ จะได้ผลดีตั้งแต่เริ่มลงมือทำ ไม่ต้องมารอผลอะไรอีก

สถานีต่างจังหวัดก็คล้ายๆกับสถานีรถไฟต่างจังหวัดบ้านเราครับ บางสถานีก็เหงาๆ มีเก้าอี้เก่าๆ พื้นสถานีบางจุดแสดงให้เห็นว่ารถไฟญี่ปุ่้นเคยเปลี่ยนแปลงระดับสูงจากพื้นมาไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง เพราะมีร่องรอยของการก่อสร้างเพิ่มเติมเพื่อยกระดับพื้นชานชาลาเืพื่อให้พื้นชานชาลาเสมอกับพื้นรถไฟ
เออ ตรงนี้ผมยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมบ้านเราไม่ยอมทำพื้นชานชาลาให้่เสมอกับพื้นรถ

รถชลอความเร็วลง ผมมองเห็นถังเก็บก๊าซรูปทรงกลมที่คุ้นตาจากภาพในอินเทอร์เน็ต นี่คือสถานีปลายทางแล้ว

No comments: