29 June 2008

ปราสาทพระวิหาร เป็นของกัมพูชา แน่นอน

วันก่อนผมเขียนและคัดลอกบทความเกี่ยวกับกรณีนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งซึ่งตอนนี้ผมต้องเขียนเพื่อแสดงว่า ผมได้พบข้อเท็จจริงที่ต่างไปจากเดิม ซึ่งทำให้ความเห็นของผมต่างไปจากเดิมด้วย
นั่นคือ จากที่เคยเชื่อว่า รัฐบาลไทยยังคงถือว่า ปราสาทพระวิหารเป็นของไทย (ตามคำแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับผลการติดสิน) นั้น เป็นความเข้าใจที่ผิด

เพราะหากพิจารณาแถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศให้ดีแล้ว เราจะพบว่ารัฐบาลยินยอมปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลก จากข้อความนี้ครับ
"แต่อย่างไรก็ดีรัฐบาลก็ยังแถลงว่าในฐานะที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติ รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะปฏิบัติตามพันธกรณีที่ตนมีอยู่ตามคำ พิพากษาดังกล่าว เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ตามข้อ 94 ของกฎบัตร"

ซึ่งชัดเจนว่าเรายินดีปฏิบัติตามคำตัดสิน
แม้ว่าจะประกาศสงวนสิทธิไว้ แต่ก็เป็นเพียงการแสดงเจตนาว่าจะเข้าครอบครอง เมื่อมีข้อมูลใหม่ หลักฐานใหม่ ในอนาคต
แต่ตอนนี้ ปราสาทต้องเป็นของกัมพูชา ตามคำพิพากษา
และเป็นของกัมพูชาทั้งตัวปราสาท และพื้นดินที่ตั้งของปราสาท แม้ว่าจะถูกล้อมรอบด้วยเขตแดนไทย (ตามแผนที่ของฝ่ายไทย) ซึ่งก็จะเป็นเช่นเดียวกับเขตอธิปไตยนอกดินแดน เช่นสถานฑูต
การยอม (ไม่ขัดขวาง) ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกเพียงลำพัง (เฉพาะตัวปราสาท) จึงทำได้ และน่าจะเป็นการเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศที่ฉลาด เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะทำไม่ได้ และในที่สุดจะต้องกลับมาใช้วิธีเสนอร่วมกับไทย เพราะโบราณสถานแห่งนี้ มีทั้งปราสาทและส่วนประกอบอื่นๆ

เพียงแต่การยินยอมครั้งนี้ จะต้องไม่มีการลากเส้นเขตแดนที่ต่างไปจากแผนที่ของไทย ไม่จำเป็นต้องให้เส้นเขตแดนวกเข้ามาจากขอบนอกมาที่ตัวปราสาท ปล่อยให้เป็นเกาะไปอย่างนั้นก็ได้ ตามที่เขียนไว้แล้วว่า ให้ถือเป็นกรณีคล้ายกับสถานฑูต

ประเด็นเรื่องปราสาทจึงชัดเจน แต่เรื่องการเมืองภายในของเรายังต้องพิจารณากันที่เอกสารของไทยที่เพิ่งไปทำกับกัมพูชาเมื่อเร็วๆนี้อีก ว่าไปเสียดินแดนให้เขาเพราะไปขีดเส้นใหม่หรือเปล่า

No comments: